คอลัมน์ : SD Talk
สถาบันไทยพัฒน์ มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดผลสำรวจสถานภาพความยั่งยืนของกิจการไทยในงาน “The State of Corporate Sustainability in 2023” พร้อมแนะนำเครื่องมือประเมิน Double Materiality (ทวิสารัตถภาพ) เพื่อระบุประเด็นสาระสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) สำหรับการพัฒนายกระดับความยั่งยืนของกิจการตามมาตรฐานในระดับสากล
สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะหน่วยงานที่มุ่งเน้นงานส่งเสริมความยั่งยืนของกิจการร่วมกับภาคเอกชนมาอย่างต่อเนื่องทำการประมวลข้อมูลความยั่งยืนของกิจการ 904 แห่ง เป็นบริษัทจดทะเบียน 805 แห่ง กองทุนและองค์กรอื่น ๆ อีก 99 ราย
เพื่อนำเสนอทิศทาง และกระแสนิยมของการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนขององค์กร ทั้งในมุมมอง GRI (Global Reporting Initiative), ESG (Environmental, Social and Governance) และ SDGs (Sustainable Development Goals) โดยเริ่มสำรวจเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2561 และดำเนินการเรื่อยมาจวบจนปัจจุบัน
“วรณัฐ เพียรธรรม” ผู้อำนวยการ สถาบันไทยพัฒน์กล่าวในการเปิดผลสำรวจสถานภาพความยั่งยืนของกิจการ ปี 2566 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2566 ว่า ผลการประเมินสถานภาพการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนของกิจการที่ทำการสำรวจทั้งหมด 904 ราย
พบว่าในปี 2566 มีคะแนนรวมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 3.53 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว และปีก่อนหน้าที่มีคะแนนรวมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2.46 คะแนน (ปี 2565 จากการสำรวจ 854 ราย) และ 2.2 คะแนน (ปี 2564 จากการสำรวจ 826 ราย)
“วีรญา ปรียาพันธ์” ผู้อำนวยการประชาคมการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน สถาบันไทยพัฒน์ กล่าวเสริมว่า ประเด็นความยั่งยืนที่มีการเปิดเผยสูงสุดใน 3 อันดับแรก ได้แก่ ผลเชิงเศรษฐกิจ (GRI 201) การฝึกอบรมและการให้ความรู้ (GRI 404) ความหลากหลายและโอกาสแห่งความเท่าเทียม (GRI 405)
“ขณะที่ประเด็นด้าน ESG ที่มีการเปิดเผยสูงสุดใน 3 อันดับแรก ได้แก่ ความหลากหลายในโครงสร้างคณะกรรมการบริษัท, ความเป็นอิสระในคณะกรรมการบริษัท จริยธรรม และการต้านทุจริต ส่วนการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่มีการเปิดเผยสูงสุดใน 3 อันดับแรก ได้แก่ เป้าหมายที่ 5 ความเท่าเทียมทางเพศ, เป้าหมายที่ 8 เศรษฐกิจและการจ้างงาน และเป้าหมายที่ 16 สังคมและความยุติธรรม”
นอกจากการเปิดเผยข้อมูลผลสำรวจประจำปีนี้ สถาบันไทยพัฒน์ ยังจัดให้มีการเสวนาเรื่อง “Double Materiality : The Financial+Impact Disclosure” ด้วยการแนะนำเครื่องมือประเมิน Double Materiality (ทวิสารัตถภาพ) เพื่อระบุประเด็นสาระสำคัญด้าน ESG
สำหรับการพัฒนายกระดับความยั่งยืนของกิจการตามมาตรฐาน ESRS (European Sustainability Reporting Standards) โดยคำนึงถึงผลกระทบทางการเงินอันเกิดจากปัจจัยความยั่งยืนที่มีต่อการสร้างคุณค่ากิจการ และผลกระทบอันเกิดจากการดำเนินงานขององค์กรที่มีต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปพร้อมกัน
“ฌานสิทธิ์ ยอดพฤติการณ์” นักวิจัยอาวุโส สถาบันไทยพัฒน์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า สารัตถภาพที่ได้ตามการวิเคราะห์ทางการเงิน (Financial Materiality) จะเป็นข้อมูลส่วนที่สนองความต้องการของผู้ลงทุน และผู้ถือหุ้น (Shareholders) ที่มุ่งตอบโจทย์ความยั่งยืนของกิจการ
ขณะที่สารัตถภาพที่ได้ตามการวิเคราะห์ผลกระทบ (Impact Materiality) จะเป็นข้อมูลส่วนที่สนองความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ที่มุ่งตอบโจทย์ความยั่งยืนโดยรวม
สำหรับในงานครั้งนี้ สถาบันไทยพัฒน์ ยังจัดพิธีมอบรางวัล Sustainability Disclosure Award ประจำปี 2566 ให้แก่องค์กรสมาชิกประชาคมการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน (Sustainability Disclosure Community : SDC) ที่ได้เปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนอันเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของกิจการ
โดยรางวัลที่มอบให้กับองค์กรในปีนี้ ประกอบด้วย Sustainability Disclosure Award จำนวน 54 รางวัล, Sustainability Disclosure Recognition จำนวน 50 รางวัล และ Sustainability Disclosure Acknowledgement จำนวน 28 รางวัล
ดังนั้น องค์กรใดสนใจข้อมูลผลสำรวจสถานภาพความยั่งยืนของกิจการ ปี 2566 สามารถศึกษาเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ของสถาบันไทยพัฒน์ (https://thaipat.org) ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป