คอลัมน์ : Marketing think ผู้เขียน : สรกล อดุลยานนท์
ในที่สุด “มาม่า-ยำยำ-ไวไว” ก็ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงพาณิชย์ให้ขึ้นราคาซองละจาก 6 บาทเป็น 7 บาท
หลังจากไม่ได้ขึ้นราคามานาน 14 ปี
ไม่น่าเชื่อนะครับว่าจะมีสินค้าอะไรตรึงราคาเดิมได้นานถึง 14 ปี และยังมีกำไร
ลองนึกดูสิครับว่าเมื่อปี 2551 ก๋วยเตี๋ยวราคาชามละเท่าไร
น่าจะประมาณ 25 บาท
ตอนนี้ขึ้นไปอย่างต่ำสุด 45 บาท
หรือขึ้นไปประมาณ 80%
แต่บะหมี่สำเร็จรูปยังราคา 6 บาทเท่าเดิม
จนเมื่อน้ำมันขึ้นราคา เกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน เงินเฟ้อพุ่งกระจุยกระจาย
สินค้าต่างๆขึ้นราคากันเป็นแถว
แต่ “มาม่า” ก็ยัง 6 บาท
เป็น “ความอิ่ม” ที่ราคาถูกที่สุดของคนไทย
จะขึ้นราคาเหมือนสินค้าอื่นก็ไม่ได้ เพราะเป็นสินค้าควบคุม
ในขณะที่บะหมี่สำเร็จรูปของเกาหลีเข้ามาขายราคาซองละ 20กว่าบาทได้
แต่ “มาม่า” ต้อง 6 บาท
เป็นเรื่องที่แปลกมาก
จนกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา “มาม่า” ทนไม่ไหว ยื่นหนังสือขอขยับราคาจากซองละ 6 บาทเป็น 7 บาท
กระทรวงพาณิชย์ไม่ยอม
ทั้งที่รู้อยู่ว่าต้นทุนการผลิตทั้งน้ำมันปาล์ม และแป้งสาลี ที่เป็นวัตถุดิบหลักของ “มาม่า” ขึ้นราคาแบบหูดับตับไหม้
โดยเฉพาะแป้งสาลี ที่ขึ้นราคาเพราะสงครามรัสเซีย-ยูเครน
การตรึงราคา “มาม่า” กลายเป็นผลงานของกระทรวงพาณิชย์
ช่วยเหลือประชาชนให้ได้อิ่มในราคา 6 บาทต่อไป
ในทางการเมือง ถ้า “พาณิชย์” ยอมให้ “มาม่า” ขึ้นราคา ก็จะถูกโจมตีได้ว่า “ผีอีแพง” ของรัฐบาลชุดนี้หนักที่สุด
ขนาด “มาม่า” ไม่เคยขึ้นราคามา 14 ปียังมาขึ้นราคาในยุคนี้
ผ่านไปพักหนึ่ง ผู้ผลิตบะหมี่สำเร็จรูปคงรู้แล้วว่าเดินเกมพลาด เพราะไม่ได้คิดในมุมการเมือง
2 เดือนต่อมาคือต้นเดือนสิงหาคม เขาเลยยื่นหนังสือฉบับใหม่
ขอขึ้นราคาจาก 6 บาทเป็น 8 บาท
หลายคนก็งง ขนาดขอขึ้นจาก 6 เป็น 7 ยังไม่ได้เลย
ทำไมจึงเสนอ 8
ผ่านไป 2 สัปดาห์ “พาณิชย์” ก็อนุมัติให้ “มาม่า-ยำยำ-ไวไว” ขยับราคาได้
แต่ขึ้นราคาซองละ 2 บาท มันมากเกินไป
ให้ขึ้นแค่ 1 บาท
จาก 6 บาทเป็น 7บาท
เท่ากับที่ราคาที่ “มาม่า” เคยเสนอไปเมื่อ 2 เดือนก่อน
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ กรมการค้าภายในยอมรับว่า “ต้นทุน” ขึ้นจริง แต่ที่เพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ คือ “ค่าแรง”
และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับปิโตรเลียม คือ น้ำมันและพลาสสิค
ไม่มี “แป้งสาลี” และ “น้ำมันปาล์ม” ที่กระทรวงพาณิชย์ต้องรับผิดชอบเลย
เขี้ยวไหมครับ 555
ยังไม่พอ
“แต่เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภคมากเกินไป กรมจึงตัดสินใจให้ปรับขึ้นราคาเพียงไม่เกิน 1 บาท/ซองเท่านั้น”
ครับ พ่อค้าขอมา 2 บาท แต่กระทรวงพาณิชย์ไม่อยากให้ประชาชนเดือดร้อน
จึงอนุมัติให้ขึ้นแค่ 1 บาท
กลายเป็นผลงานการต่อสู้เพื่อผู้บริโภคของกระทรวงพาณิชย์
ถ้ามองในเชิงกลยุทธ์ นี่คือ การเจรจาต่อรองแบบ “วิน-วิน เกม”
อยากได้ 7 ต้องเสนอ 8 เพื่อให้ฝ่ายการเมืองมีทางถอย
มี “มาม่า-ยำยำ-ไวไว” แล้ว
ก็ต้องมี “วินวิน” บ้าง