ฝุ่นตลบ แคนดิเดตโฆษกรัฐบาล ดัน ส.ส.สอบตกค้ำบัลลังก์ประยุทธ์

โฆษกรัฐบาล

เป็นไฟต์บังคับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องเปลี่ยน “โทรโข่งรัฐบาล” ในช่วงปลายรัฐบาล

การยื่นใบลาออกของ “ธนกร” เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2565 และ “มีผลทันที” เสมือนเป็นการ “เปิดทาง” ให้ “โฆษกรัฐบาลคนใหม่” เข้ามาประจำการในตำแหน่งหลังไมค์คนใหม่

แคนดิเดต “โฆษกรัฐบาลคนใหม่” ถูก “โยนหินถามทาง” ชื่อ-โปรไฟล์ “อยู่ในสายตา” พล.อ.ประยุทธ์ 3 คน

คนแรก “จั้ม” สกลธี ภัททิยกุล มาแรงแซงทางโค้ง คอนเน็กชั่นไม่ธรรมดา-แบ็กอัพแน่น กำเนิดจากดงม็อบลุงกำนันได้รับตำแหน่งห้อยท้าย “อดีตแกนนำ กปปส.”

หลังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ถูกขับไล่ ได้รับการปูนบำเหน็จเป็น “อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.” ก่อนจะร่วมหัวจมท้ายกับพรรคพลังประชารัฐ

ข้อเท็จจริงที่ปรากฏเป็นหลักฐาน-ประจักษ์พยานถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่าง จั้ม-สกลธี กับเครือข่าย 3 ป.และ “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ จึงมีสถานะเป็น “หลานลุง”

ทุกอย่างก้าวของ จั้ม-สกลธี รวมถึงการลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ล้วนได้รับการส่งเสริมจาก พล.อ.ประยุทธ์

มิหนำซ้ำยังลึกซึ้งระดับสายเลือด “ลูกทหาร” พล.อ.วินัย ภัททิยกุล อดีตเลขาธิการ คมช.

คนที่สอง “เจมส์” อนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ที่จะ “คัมแบ็ก” มานั่งเก้าอี้โฆษกรัฐบาลอีกคำรบ แต่เขายัง “แบ่งรับแบ่งสู้” ว่า “แล้วแต่ท่านนายกฯ”

อนาคตทางการเมืองของ “อนุชา” ยังไม่ตัดสินใจตกล่องปล่องชิ้นกับพรรคการเมืองใด ขอทุ่มเทสรรพกำลังกายให้กับรัฐบาล ที่มีงานใหญ่ระดับโลก-เจ้าภาพจัดงานเอเปคให้เสร็จสิ้นก่อน

ในช่วงที่ตำแหน่งโฆษกรัฐบาลคนใหม่ยัง “ฝุ่นตลบ” พล.อ.ประยุทธ์ จดปากกาในคำสั่งที่ 204/2565 เรื่อง มอบหมายให้ข้าราชการการเมืองปฏิบัติหน้าที่อีกหน้าที่หนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2565 เป็นต้นไป ลงนามวันเดียวกัน

“จึงมีคำสั่งมอบหมายให้นายอนุชา บูรพชัยศรี ข้าราชการการเมือง ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีอีกหน้าที่หนึ่ง”

คนที่สาม “อ้น” ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ที่มีชื่อมานั่งโฆษกรัฐบาลตั้งแต่ไก่โห่ เข้า-ออกทำเนียบรัฐบาลในวันประชุมคณะรัฐมนตรี แต่คำสั่งแต่งตั้งเป็น “รองโฆษกรัฐบาล” ยังไม่ถูกบรรจุเป็นวาระเห็นชอบ

“อดีต ส.ส.สอบตก” เขตจอมทอง-ธนบุรี ในสีเสื้อพรรคพลังประชารัฐ แพ้เลือกตั้งเมื่อปี 2562 ให้กับพรรคอนาคตใหม่เฉียดฉิว-หลักพันคะแนน ถึงขั้นเปิดแชมเปญรอเลี้ยงฉลองไปแล้วเก็บแก้วกันไม่ทัน

แคนดิเดตโฆษกรัฐบาลทั้ง 3 ชื่อ แม้จะมีจุดเด่น-จุดด้อยแตกต่างกัน แต่มีโจทย์เหมือนกัน คือ เป็นการใช้ตึกนารีสโมสร เป็น “สปริงบอร์ด” ไปสู่โรงละครแห่งความฝัน-เชิดฉายในเวทีการเมือง

โจทย์ของ “โฆษกรัฐบาลคนใหม่” จะทำอย่างไรในการใช้โพเดียมในการวางตำแหน่งแห่งหนบนตึกนารีสโมสรให้ต่อยอดคะแนนนิยมจากการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และเป็น “แต้มต่อ” ในสนามเลือกตั้ง

“รัชดา ธนาดิเรก” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะ “(รอง) โฆษกรุ่นพี่” บอกถึงความท้าทายของ โฆษกรัฐบาลคนใหม่ที่ต้องมา “รับไมค์ต่อ” ในช่วงปลายสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์

“ภายใต้กระแสที่คนให้ความสำคัญกับข่าวฟากรัฐบาลน้อยกว่าข่าวทั่วไป เราจะทำอย่างไรให้สื่อสารนโยบายที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ทิศทางการเดินหน้าของประเทศให้ประชาชนได้รับรู้มากที่สุด รวมถึงประเด็นทางการเมืองที่ถูกโจมตีและข้อมูลด้านเดียวจึงต้องมีการชี้แจงให้มากขึ้นและให้ข้อมูลที่ถูกต้อง”

“ทุกวันนี้เราอยู่ในภาวะสงครามข้อมูลข่าวสารของแต่ละฝ่ายที่เห็นต่าง ให้ข้อมูลเพียงครึ่งเดียว หรือกระแสสังคมที่ให้ความสนใจกับข่าวสังคมทั่วไปมากกว่าข้อมูลจากภาครัฐ ส่งผลข้อมูลไปไม่ถึงปลายทาง คือ ประชาชนอยู่ดี เป็นความยากลำบาก”

เธอขมวดทิ้งท้าย ว่า 1.สื่อสารอย่างไรให้ถึงตัวประชาชน-ทะลุกำแพงข้อมูลข่าวสาร 2.ฉายภาพทิศทางของประเทศที่รัฐบาลจะขับเคลื่อนไปในทิศทางใดจากการทำงานของรัฐบาลในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้ประชาชนได้เตรียมตัว-มีความหวัง เพราะมีสิ่งที่ดีรออยู่ และ 3.การต่อสู้กับข่าวปลอมและโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลที่ให้ข้อมูลเพียงด้านเดียว


ส่วนโจทย์ของ พล.อ.ประยุทธ์ คือ จะเฟ้นหาโฆษกรัฐบาลคนใหม่ ที่ผสมผสานทั้งความรู้-ความสามารถ และความเป็นดาวเด่น-แม่เหล็กทางการเมือง ปั้นดินให้เป็นดาวคู่บุญประยุทธ์