สร้างอนาคตไทยเปิดแผนเศรษฐกิจ ล้วงงบตั้งกองทุนแสนล้าน แจกรากหญ้า

พรรคสร้างอนาคตไทย
คอลัมน์ : รายงานพิเศษ

“สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” อดีตรองนายกรัฐมนตรีเศรษฐกิจ รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ล้างภาพลักษณ์ พรรคสร้างอนาคตไทย สลัดคราบพรรคพลังประชารัฐ สาขาสอง-พรรคนั่งร้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

“สมคิด” ประกาศเงื่อนไขรับตำแหน่งประธานพรรค-แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ตอกสลักเป็นหลักศิลา-เป็นดีเอ็นเอพรรคสร้างอนาคตไทย 3 ข้อ 1.เป็นพรรคการเมืองที่ดี-อุดมการณ์แจ่มชัด 2.กอบกู้เศรษฐกิจ-สร้างอนาคตประเทศ และ 3.เปลี่ยนแปลงการเมือง-แก้รัฐธรรมนูญ

ชูกองทุนแสนล้าน อุ้มท่องเที่ยว

กองทุนสร้างอนาคตไทย 3 แสนล้าน 1 ในเครื่องมือทางการเมือง “สมคิด” แบ่งออกเป็น 2 กอง กองแรก เยียวยาผู้ยากลำบาก ไม่ให้ล้มตาย โดยเฉพาะรากหญ้า กองสอง ปฏิรูปภาคการเกษตรและท่องเที่ยวให้ถึงรากถึงโคน

“สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย มั่นใจว่ายุทธศาสตร์ของพรรคจะ “ยึดภาคใต้” ได้สำเร็จ

“เรารู้ว่าเราจะใช้วิธีอะไรในการแก้ปัญหา ผ่อนหนักเป็นเบาจะทำอย่างไร ไม่ทำเพียงเพื่อหวังผลทางการเมือง วันนี้ต้องหยุดการล้มหายตายจากให้ได้ก่อน แต่หยุดคงไม่อยู่ เพราะลงมาลึกแล้ว นโยบายต้องแข็งกร้าว”

“มาตรการ Asset Warehousing (พักทรัพย์พักหนี้) ดีไหม ดี แต่เนื้อลึกของปัญหาคือ ได้เฉพาะลูกหนี้ชั้นดี ธนาคารเลือก Asset ที่ไปได้ ตราบใดที่ยังเป็นระบบแบงก์ ปลดล็อกไม่ออก เพราะทุกแบงก์กลัวหนี้เสีย และแบงก์รัฐก็มีข้อจำกัด”

เมื่อต้องปลดล็อกข้อจำกัด เพื่อใช้ตัวช่วยนอกระบบแบงก์เข้ามาช่วย จึงเป็นที่มาของการเสนอนโยบายจัดตั้งกองทุนสร้างอนาคตไทย วงเงิน 3 แสนล้านบาท ซึ่งจะสามารถแบ่งออกมาใช้สำหรับ “พักทรัพย์พักหนี้” จำนวน 1 แสนล้านบาท

“เศรษฐกิจในจังหวัดภูเก็ตฟื้นแต่ระดับบน แต่ละดับกลางและระดับล่างยังลำบาก สมัยผมกู้เงิน 2 ล้านล้าน แบ่งเป็นเยียวยา 1 ก้อน และฟื้นฟูเศรษฐกิจ 1 ก้อน ถ้าเยียวยาหมดก็เจ๊งเหมือนเดิม เพราะเยียวยาเป็นเพียงยากิน ยาแก้ปวดหัว”

หลังจาก “สมคิด” เดินสาย-บิวด์อารมณ์ เพื่อเสนอนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ภูเก็ตเสร็จแล้ว หลังจากนี้ คำถาม คือ “เราจะ Move Momentum” ต่อไปอย่างไรให้ถึงวันเลือกตั้ง-เข้าเส้นชัย

“สนธิรัตน์” ให้ติดตามการเดินสายของ “สมคิด” ทุกฝีก้าวต่อไป หากพรุ่งนี้พรรคสร้างอนาคตไทยได้เป็นรัฐบาล สิ่งที่จะ “ทำทันที” ว่า “ถ้าเลือกผมแล้ว ผมจะทำให้ดู” และ “เรายังมีอีกหลายดอก”

ไม่กู้เพิ่ม-ไม่กระทบหนี้สาธารณะ

“สันติ กีระนันทน์” รองหัวหน้า-หัวหน้าทีมนโยบายพรรคสร้างอนาคตไทย อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ บอกว่า กองทุน 3 แสนล้านบาท “ไม่ต้องกู้เพิ่ม” จึงไม่กระทบ “หนี้สาธารณะ”

“3 แสนล้านไม่ได้เอามาโปรยเล่น ๆ แต่เกิดโปรดักทิวิตี้ทุกบาท หมดยุคนโยบายเอาเงินมาแจก หมดยุคนโยบายประชานิยม ต้องเป็นนโยบายที่เปลี่ยนโครงสร้างของประเทศให้มีเรี่ยวแรงทำมาหากิน บวกกับได้รับสวัสดิการสังคมที่เหมาะสม”

“สันติ” บอกถึงแหล่งที่มาของเงิน 3 แสนล้านบาทว่า ปัจจุบันงบประมาณรายจ่ายประจำปีประมาณ 3 ล้านล้านบาท ซึ่ง พ.ร.บ.วิธีพิจารณางบประมาณบังคับต้องมีรายจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่า 20% ของ 3 ล้านล้าน คือ 6 แสนล้าน

“ผมไปสำรวจดูงบประมาณรายจ่ายลงทุน 6 แสนล้าน ไส้ในแบ่งออกเป็น รายจ่ายลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเราไม่แตะ แต่แตะ 3 เรื่อง 1.หมวดการป้องกันประเทศ 2.หมวดความสงบภายในประเทศ และ 3.หมวดการเศรษฐกิจ ซึ่ง 3 หมวดรวมกัน 4.5 แสนล้านบาท จัดลำดับความสำคัญเสียใหม่”

“สมมติว่าหลังเลือกตั้ง กว่าจะฟอร์มรัฐบาลเสร็จ คาดว่าไม่เร็วกว่าเมษาฯ-พฤษภาฯ 66 เป็นช่วงปลายปีงบประมาณปี 66 อีกไม่เกิน 5-6 เดือน (พ.ค.-ก.ย. 66) เราสามารถออก พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อเอาเรื่องที่ไม่จำเป็นเร่งด่วนมากองรวมกัน ถัดจากนั้นทำงบฯปี 67 แปลว่าจะเหลื่อมอยู่ 2 ปี คืองบฯ ปี 66 กับงบฯปี 67 ฉะนั้น 3 แสนล้านไม่ใช่เรื่องใหญ่ เราสามารถเล่นกับตัวเลขได้ถึง 7 แสนล้าน เราขอ 3 แสนล้าน”

โดยกองทุนสร้างอนาคตไทย 3 แสนล้านบาท จะใช้กลไก “ธนาคารรัฐ” จึงต้องใช้คนที่มีประสบการณ์-คนที่รู้จริง ไม่เช่นนั้นทำไม่ได้

“พรรคสร้างอนาคตไทยตั้งเป้าหมายกดภาระหนี้สาธารณะ ให้กลับมาอยู่ในวินัยการเงินการคลัง 60% เพราะฉะนั้น การกู้เงินมาอีลุ่ยฉุยแฉกจะไม่ทำเด็ดขาด และอยากเห็นงบประมาณสมดุลภายใน 10 ปี เพื่อพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางและเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายใน 10 ปีให้ได้”

“โครงการคนละครึ่ง เริ่มต้นเป็นหัวมังกุ แต่จบด้วยกลายเป็นท้ายมังกร ใช้ผิดวัตถุประสงค์ ตอนนี้ไม่ใช่ไปอัดโครงการคนละครึ่ง แต่ต้องไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งที่เป็นกายภาพและไม่ใช่กายภาพ เช่น การท่องเที่ยว เพื่อรองรับการฟื้นตัว”

“สันติ” บอกนโยบายเศรษฐกิจของพรรคว่า “ต้องมีทั้งเสื้อโหลและเสื้อสั่งตัด”

นโยบายการเงินและนโยบายการคลังระยะสั้น กระทรวงเศรษฐกิจทั้งหมด รวมถึงแนวคิดของธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องสอดประสานกัน ระยะยาว ปรับโครงสร้างเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างรุนแรง

“อุตสาหกรรม 4.0 New S-curve โครงการ EEC นโยบาย BCG สานต่ออย่างเดียวไม่พอ ต้องมีของใหม่เติมด้วย เช่น ต่อยอดสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) กองทุนหมู่บ้านเวอร์ชั่นใหม่ มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม”

สำหรับนโยบายแต่ละเขต-แต่ละจังหวัด โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจนำด้วย “77 Grow engine”

“ประเทศไทยมี 77 จังหวัด ทุกจังหวัดเหมือนเป็นโบกี้รถไฟ เป็นโบกี้ที่ติดเครื่องยนต์ ผลักดันให้จังหวัดเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารตัวเองให้เศรษฐกิจเติบโต”

“77 จังหวัด 878 อำเภอ ทุกอำเภอจะต้องมีตัวแทนเข้าไปนั่งในกรรมการจังหวัด โจทย์ใหญ่ไม่ทำลายวิถีชีวิต ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และอยู่ได้โดยมีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ”

กรุงเทพมหานคร (กทม.) ต้องถูกยกระดับเป็น “มหานคร” ในทางกายภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วม กทม. ในอีก 20 ปีข้างหน้า ในทางเศรษฐกิจจะทำให้ กทม.เป็น “มหาหัวรถจักร” บวกกับเครื่องยนต์ 77 จังหวัดนำพาประเทศเติบโตได้ตามศักยภาพ

“กรุงเทพฯต้องผนึกกำลังกับปริมณฑล ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม ไปถึงภาคตะวันออก ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง ตราด จันทบุรี คืออีอีซีทั้งก้อน ลึกขึ้นไปแถบพระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม รวมเป็นพื้นที่ใหญ่ เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ เชื่อมทั้งภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคตะวันตกออกอ่าวไทย เพื่อขนส่งสินค้าส่งออกและนำเข้า”

วันนี้ประเทศไทยควรจะมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ปีละ 6-7 เปอร์เซ็นต์ เป็นประเทศพัฒนาแล้ว-พ้นกับดักรายได้ปานกลาง จีดีพี 17 ล้านล้านบาทต่อปี มีขนาดเศรษฐกิจที่เล็กเกินไปต่ำกว่าศักยภาพที่มี

การเดินสายของ “สมคิด” เป็นกลุ่มจังหวัด-เจาะลึกเป็นราย “คลัสเตอร์” เพื่อดีไซน์ “นโยบายสั่งตัด”

ปักธง ภูเก็ต สะเทือน อันดามัน

“สมคิด” คาดหวังกับกลุ่มจังหวัดภาคใต้มาก จึงเลือกภูเก็ตเป็น “จังหวัดแรก” ในการลงพื้นที่หลังจาก “เปิดตัว” รับตำแหน่ง “ประธานพรรค”

พรรคสร้างอนาคตไทย หมายมั่นให้ “กระแสสมคิด” ตีแผ่ขยายรัศมีกินเนื้อที่ 3 จังหวัดอันดามัน ได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ และพังงา โดยชูเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องเป็นหมุดหมาย

การชูเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ จึงกลายเป็น “จุดแข็ง-จุดขาย”

“นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย รับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้ วิเคราะห์ว่า ภาคใต้จะเป็นพื้นที่ที่แข่งขันกันดุเดือด เพราะภาคเอกชนในพื้นที่แตกออกเป็นกลุ่มก้อน หลังจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

วันนี้ภูเก็ตไม่มี “ส.ส.เกรดเอ” ที่มีความสามารถในด้านเศรษฐกิจ และภาคธุรกิจในพื้นที่ ไม่มีใครอยากจะลงเล่นการเมือง เพราะต้องระดมสรรพกำลังเพื่อฟื้นฟูกิจการของตัวเอง

ก่อนหน้านี้พรรคสร้างอนาคตไทยเห็นแวว “นรภัทร ปลอดทอง” อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต มาลงสมัคร ส.ส.ภูเก็ต ในนามพรรค เพราะเป็นผู้ที่รู้ปัญหาจังหวัดภูเก็ตเบอร์ต้น

ถึงแม้จะไม่สามารถ “ปิดดีล” ได้ แต่ได้รับข้อเสนอแนะ 4-5 เรื่อง มา “ต่อยอด” ทำนโยบายให้กับพรรคสร้างอนาคตไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า

“นิพิฏฐ์” บอกว่า ความสำเร็จในการลงพื้นที่มาสัมมนาที่ภูเก็ต ไม่ใช่วันนี้กระแสจะตอบรับดีหรือไม่ แต่หลังจากวันนี้ไปต่างหาก กระแสต่อจากนี้ไปจะต่อเนื่อง เป็นความหวังกับเศรษฐกิจภายใต้การนำของนายสมคิดหรือไม่ต่างหาก

“จะทำอย่างไรให้คนชั้นกลางกลัว กลัวในที่นี้ หมายถึงกลัวว่าเงินในกระเป๋าจะหมด และทำอย่างไรให้คนชั้นล่างมีความหวัง คือความหวังที่จะหายจากความยากจน”

พลังประชารัฐไม่ใช่คู่แข่ง

การเลือกตั้งเมื่อปี 62 พรรคพลังประชารัฐกวาดเก้าอี้ ส.ส.ภูเก็ต “ยกจังหวัด” เขต 1 นายสุทา ประทีป ณ ถลาง 32,338 คะแนน เขต 2 นายนัทธี ถิ่นสาคู 27,267 คะแนน เพราะกระแส พล.อ.ประยุทธ์

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ “เจ้าของพื้นที่เดิม” เสียแชมป์ เข้าป้ายเป็น “อันดับสอง”

แม้การเลือกตั้งเมื่อปี 62 พปชร.จะกวาดเก้าอี้ ส.ส.ภูเก็ต ทั้ง 2 เขต-ยกจังหวัด แต่คู่แข่งที่พรรคสร้างอนาคตไทยหวั่นไหวมี 2 พรรคคือ พรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากได้รับอานิสงส์จากกระแส พล.อ.ประยุทธ์ เสื่อมมนต์ขลัง

การเลือกตั้งครั้งหน้า ปี 66 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แบ่งเขตใหม่ จากเดิมทั้งหมด 50 เขต เพิ่มเป็น 58 เขต โดยจังหวัดภูเก็ตเพิ่มมา 1 เขต จากเดิม 2 เขต เป็น 3 เขต

พรรคประชาธิปัตย์ ประกาศคัมแบ็กภาคใต้ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นเดิมของพรรค ถึงขั้น “เสี่ยต่อ” เดิมพันชีวิตทางการเมือง หากได้ต่ำว่า 52 ที่นั่ง พร้อมวางมือทางการเมือง

โดย “วางตัว” ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดภูเก็ต เขต 1 นายกวี ตันสุคตานนท์ อดีตรองนายกเทศมนตรีเทศบาลภูเก็ต และเขต 2 นายชัยยศ ปัญญาไวย ประธานสภาทนายความจังหวัดภูเก็ต 2 สมัย ที่แพ้การเลือกตั้งเมื่อปี 62 ไป 3,309 คะแนน

พรรคภูมิใจไทย ที่มี “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน สวมหมวกเสนาบดีการท่องเที่ยวและกีฬา รุกหนัก ประกาศตอกเสาเข็ม เตรียมจะส่ง “เฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์” อดีต ส.ส.ภูเก็ต ปชป. ลงเขต 3

ชงตั้ง ส.ส.ร.แก้รัฐธรรมนูญ

1 ใน 3 เงื่อนไขของ “สมคิด” ในการรับตำแหน่ง “ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย” คือการประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย

“วิเชียร ชวลิต” มือกฎหมายพรรคสร้างอนาคตไทย เตรียมถือธงนำแก้รัฐธรรมนูญ โดยการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เช่น แก้ไขอำนาจของ ส.ว.ที่เกินขอบข่าย ล้ำเขตอำนาจของ ส.ส. โดยเฉพาะการให้อำนาจ ส.ว.ในการเข้ามามีส่วนร่วมในการออกกฎหมาย แทนที่จะทำหน้าที่เป็น “สภาพี่เลี้ยง”


“สนธิรัตน์” ปิดท้ายว่า “การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่แก้เพียงประเด็นเรื่อง ส.ว. แต่รวมถึงแก้ประเด็นที่จะทำให้ประเทศไปติดกับดัก ต้องแก้ทั้งหมด เพื่อให้ประเทศเดินหน้า”