
“เศรษฐา” เดินหน้าพลิกโฉมประเทศ-ฟื้นเศรษฐกิจ ย้ำนโยบายทำทันที “ลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้” กดปุ่ม “ลดค่าไฟ-เพิ่มค่าแรง-พักหนี้เกษตรกร” พร้อมยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวจีน เตรียมทำแผนพลิกโฉมสนามบินทั่วประเทศ เปิดประตูดึงนักท่องเที่ยวปั๊มรายได้ช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี ส่วนนโยบาย “เงินดิจิทัล 10,000 บาท” มาแน่ หลังนั่งควบ รมว.คลัง ทำข้าราชการวิ่งวุ่นเตรียมหาแหล่งเงินหลายแนวทาง ทั้งใช้ งบฯกลาง-เงินกู้-ยืมแบงก์รัฐ-ออก พ.ร.ก. ขณะที่เอกชนหวั่นเรื่องขึ้นค่าแรง 600 บาทจะกระทบ SMEs หนัก
หลังพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย นายเศรษฐา ทวีสิน ได้ประกาศว่า จะขอทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เป็นรัฐบาลที่จะทุ่มเท ทำงานหนัก รับฟังเสียงของประชาชน นำความสามัคคีกลับคืนสู่คนในชาติ นำพาประเทศไทยไปข้างหน้า พร้อมทั้งแสดงความมั่นใจว่า 4 ปีต่อจากนี้จะเป็น 4 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง
โดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวหลังลงพื้นที่ที่จังหวัดภูเก็ตและพังงา ระหว่างวันที่ 25-26 สิงหาคมนี้ เป็นที่แรกว่า มาเพื่อรับฟังเรื่องเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเพราะจุดแรกที่นักท่องเที่ยวมาถึง คือ สนามบิน โดยทีมงานจะนำข้อมูลที่รับฟังมานำร่างนโยบายที่ตอบสนองต่อความต้องการของการท่าอากาศยาน เพราะแนวทางที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีที่สุดในระยะสั้นก็คือ เรื่องของการท่องเที่ยว
“ตอนนี้นักท่องเที่ยวเริ่มกลับเข้ามาแล้ว เรากำลังจะเข้าสู่ไฮซีชั่นในอีก 1 เดือนข้างหน้า จากปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนกลับเข้ามาท่องเที่ยวประมาณ 30% ถือเป็นสัดส่วนที่สำคัญมาก จึงต้องหาวิธีให้ง่ายต่อการเดินทางเข้าประเทศและมีความจำเป็นต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาประเทศไทย โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนมารับฟังความคิดเห็นและต้องมีการเตรียมการ”
นอกจากนี้ ในระหว่างการลงพื้นที่ที่จังหวัดภูเก็ตและพังงาของ นายเศรษฐา ยังมีพูดคุยกันถึงการขยายท่าอากาศยานภูเก็ต และจะนำไปปรึกษาหารือกับ สภาพัฒน์ ในเรื่องของแผนงานรองรับการดำเนินการ ทั้งแผนงานของการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานภูเก็ต รวมถึงการขยายรันเวย์ เรื่องราคาค่าตั๋วโดยสารแพง เรื่องรถสาธารณะ
ส่วนเรื่องท่าอากาศยานภูเก็ตแห่งใหม่ที่ จังหวัดพังงานั้น ขอหารือกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติก่อน เพราะเป็นเรื่องสำคัญเพื่อรองรับปริมาณการท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นายเศรษฐาได้กล่าวถึงนโยบายดิจิทัลวอลเลตว่า “ผมอยากทำให้เร็วที่สุด ปีใหม่ฝรั่งอาจเร็วไป แต่ปีใหม่ไทยก็อาจจะช้าไป ส่วนจะทำอย่างไรมีความเป็นไปได้ 2 ทาง คือ สร้างบล็อกเชนเอง หรือใช้แอปเป๋าตัง ต้องบอกว่า บล็อกเชนเป็นอนาคตของอินฟราสตรักเจอร์ด้านการเงิน ยังไงก็ต้องมีเนชั่นแนลบล็อกเชน แต่ถ้าทำแล้วช้า ก็ไปใช้กระเป๋าตังค์ได้ก็ใช้ได้ แต่ในระยะยาวยังไง ๆ เราก็ต้องมีเนชั่นแนลบล็อกเชน เป็นสิ่งที่จะทำคู่ขนานกันไป แต่จะเร่งทำงานเต็มที่ไม่ช้าแน่นอน”
นโยบายทำทันทีของพรรคเพื่อไทย
แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทยเปิดเผยว่า นโยบายที่จะทำทันทีก็คือ “การลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้” เช่น การลดค่าไฟทันที การพักหนี้เกษตรกร การลดดอกเบี้ยเงินกู้ส่วนบุคคล พร้อม ๆ ไปกับการปรับขึ้นค่าแรง ซึ่งจะดำเนินการเป็นสเต็ป ๆ ไป ส่วนการกระตุ้นการท่องเที่ยวจะมีมาตรการ “ฟรีวีซ่า” ให้กับนักท่องเที่ยวจีน เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวจีน ซึ่งถือเป็นกลุ่มใหญ่ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย
สำหรับการปรับปรุงสนามบินทั่วประเทศ มีแนวคิดที่จะให้ AOT เข้ามาบริหารสนามบินในต่างจังหวัดทั้งหมด เพราะที่ผ่านมาสามารถทำได้ดี มีกำไร เช่น สนามบินกระบี่ รวมถึงนโยบายกระตุนเศรษฐกิจผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล ที่ใช้วงเงินงบประมาณ 560,000 ล้านบาท เพื่อให้ภาคธุกิจได้รับอานิสงส์จากกำลังซื้อประชาชนที่เพิ่มขึ้นอย่างเท่าเทียม และเข้าถึงทุกพื้นที่
ส่วนการลดภาระหนี้ประชาชน พรรคเพื่อไทยได้ตั้งเป้าใช้งบประมาณ 13,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการพักหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยเกษตรกร 3 ปี, พักหนี้ธุรกิจเฉพาะที่เดือดร้อนจากโควิด-19 เป็นเวลา 1 ปี, สนับสนุนและอุดหนุน Pico Finance เพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ, นโยบายพักหนี้เกษตรกร 3 ปี
ขณะที่นโยบายปรับลดราคาพลังงาน น้ำมัน-ไฟฟ้า-ก๊าซนั้น พรรคเพื่อไทยจะดำเนินการปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบ ปรับลดอุปทานส่วนเกิน ส่วนในระยะยาวจะเร่งเจรจาพื้นที่ทับซ้อนให้ได้มาซึ่งแหล่งก๊าซธรรมชาติราคาถูก
หลากหลายวิธีหาเงิน 560,000 ล้าน
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การดำเนินนโยบาย “แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท” ของรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำนั้น หากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นั่งควบตำแหน่ง รมว.คลังเอง ก็จะทำให้การผลักดันนโยบายทำได้ง่ายขึ้น เพราะเรื่องนี้ยังมีรายละเอียดค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณที่จะนำมาใช้ ซึ่งเป็นวงเงินที่สูงมากกว่า 560,000 ล้านบาท
“ภาวะเศรษฐกิจตอนนี้ไม่ได้ฟื้นอย่างที่คิด เห็นจากตัวเลขไตรมาสแรกที่ออกมาโตแค่ 1.8% ซึ่งพรรคเพื่อไทยประกาศไว้ว่าจะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจและนโยบายที่เป็นเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจที่โดดเด่นก็มีเพียงเรื่องเงินดิจิทัล 10,000 บาทนี้ ดังนั้นคงทำแน่นอน แต่รูปแบบ-วิธีการจะเป็นอย่างไร ยังต้องหารือกัน”
แน่นอนว่า งบประมาณปี 2567 จะล่าช้าออกไป 7-8 เดือน หรือกว่าจะใช้ได้ก็หลังเดือน เม.ย.-พ.ค. 2567 ไปแล้ว ดังนั้นหากจะทำเรื่องแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทก่อนหน้านั้น “คงต้องหาแหล่งเงินอื่น อย่างเช่น งบฯกลางรายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น แต่ก็มีวงเงินไม่มาก และต้องมีเหตุผลที่จำเป็นเร่งด่วนจริง ๆ ถ้าไม่ทำแล้วจะเกิดความเสียหาย”
ขณะเดียวกันก็ยังมีวิธีการออกกฎหมายกู้เงินพิเศษขึ้นมา แต่ก็ต้องอธิบายเหตุผลความจำเป็นเช่นเดียวกัน และยังยากยิ่งกว่าการขอใช้งบฯกลางอีก “ยังมีอีกวิธีคือ ใช้เงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐไปก่อน แล้วไปตั้งชดเชยคืนให้ แต่ก็ต้องดูวงเงินที่เหลือตามมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐด้วย” แหล่งข่าวกล่าว
เล็งงบฯกลางสำรองจ่าย
ด้านนายเฉลิมพล เพ็ญสูตร ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า ได้ประเมินเผื่อไว้แล้วว่า งบประมาณปี 2567 อาจจะล่าช้าถึง 8 เดือน ซึ่งก็ขึ้นกับรัฐบาลชุดใหม่ด้วย โดยงบประมาณปี 2567 อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ทำไว้ ว่าจะมีรายจ่ายที่ 3.35 ล้านล้านบาท ซึ่งต้องขึ้นกับว่าประมาณการรายได้เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ หากกระทรวงการคลังประมาณการรายได้เพิ่มขึ้นก็สามารถจัดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้นได้ หรือจะทำขาดดุลน้อยลงก็ได้
ส่วนกรณีรัฐบาลจะทำนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ในช่วงก่อนที่งบประมาณปี 2567 จะบังคับใช้ อาจจะต้องใช้ “งบฯกลางรายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น” ซึ่งต้องอธิบายหลักการให้ได้ว่า หากไม่ทำแล้วจะเกิดความเสียหายอย่างไร รวมถึงพิจารณาว่างบฯรายจ่ายปี 2566 มีส่วนใดให้ปรับมาใช้ได้บ้าง ซึ่งต้องเป็นลักษณะโครงการที่เหมือนกัน
“เป็นไปได้ว่ารัฐบาลอาจจะไม่ใช้งบประมาณอย่างเดียว แต่อาจจะเป็นแหล่งเงินอื่นด้วย รวมถึงต้องคุยรายละเอียดวิธีการให้ชัดเจน ซึ่งอาจจะไม่ต้องใช้เงินงบประมาณทันทีก็ได้ เพราะเป็นลักษณะดิจิทัลวอลเลต ก็อาจจะมีวิธีการที่จ่ายไปก่อนได้ อันนี้คงต้องรอดูข้อมูลนโยบายรัฐบาลให้ชัดเจนก่อน และดูว่าทางกระทรวงการคลังจะมีความเห็นอย่างไรบ้าง” นายเฉลิมพลกล่าว
ชงทำงบฯปี’67 ขาดดุลเพิ่ม
นายเฉลิมพลกล่าวอีกว่า ตนยังตอบไม่ได้ว่าจะใช้เงินจากไหน แต่ที่สามารถตอบได้ก็คือ ข้อเสนอต่อรัฐบาลในการปรับลดงบประมาณบางเรื่องลง เพื่อมาทำตามนโยบายเงินดิจิทัลให้ได้ส่วนหนึ่ง และอาจจะต้องเสนอว่า ต้องเพิ่มวงเงินงบประมาณได้บ้างหรือไม่ โดยต้องหารือกับ 4 หน่วยงาน (คลัง-สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ-ธนาคารแห่งประเทศไทย-สำนักงบประมาณ) ซึ่งมีหลายวิธี
เช่น การกู้ หรือเครื่องมืออื่น ส่วนการเพิ่มวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 วงเงิน 3.35 ล้านล้านบาท หากจะต้องเพิ่มวงเงินสามารถเพิ่มได้อีกเท่าไหร่นั้น นายเฉลิมพลกล่าวว่า ต้องประเมินจากการจัดเก็บรายได้จริงว่าจะเป็นอย่างไร แต่หากเป็นตนก็จะขอเพิ่มไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาท
“งบประมาณปี 2567 ที่มีวงเงิน 3.35 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาณแบบขาดดุล 5.9 แสนล้านบาท ซึ่งขาดดุลน้อยกว่างบประมาณปี 2566 ที่ขาดดุล 6.5 แสนล้านบาท และหากปี 2567 ทำขาดดุลเพิ่มอีก 50,000 ล้านบาท ก็ยังน้อยกว่าปี 2566 ผมถึงพูดได้ว่าสามารถเพิ่มวงเงินงบฯปี 2567 ได้ไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาท แต่ได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลัง” นายเฉลิมพลกล่าว
“พิพัฒน์” KKP คาดรัฐบาลอาจใช้เงินแบงก์รัฐ
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า นโยบายเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลพรรคร่วมที่ดูแล้วเป็นตัวชูโรงมีตัวเดียวคือ “ดิจิทัลวอลเลต” ซึ่งยังต้องดูรายละเอียดว่าจะทำแบบไหน หากทำแบบแจกเงินปกติจะมีข้อจำกัดเยอะมาก หากจะจัดทำงบประมาณปี 2567 ขาดดุลเพิ่มก็เพิ่มได้ไม่มากแล้ว เพราะเดิมก็ตั้งขาดดุลไว้ที่ประมาณ 3% ของ GDP จากที่กฎหมายกำหนดขาดดุลไม่เกิน 3.5%
แต่ก็มีแนวทางที่สามารถใช้เงินของแบงก์รัฐไปก่อนได้ แต่ก็ต้องพิจารณากรอบตามมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐด้วยที่กำหนดสัดส่วนภาระที่รัฐต้องชดเชยไว้ที่ 30% หรือประมาณ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งเข้าใจว่ามีวงเงินคงเหลือประมาณ 600,000 ล้านบาท ก็ต้องดูว่ารัฐบาลจะใช้ช่องทางนี้หรือไม่
“ต้องดูว่าจะออกท่าไหน ซึ่งมีด้วยกัน 2 ท่า คือ ท่าแรก ก็ทำตามกระบวนการงบประมาณปกติหรือกู้เงิน อาจจะออก พ.ร.ก. แต่ก็ต้องตอบให้ได้ว่า จำเป็นเร่งด่วนจริงหรือไม่ ส่วนท่าที่สอง ถ้าทำเป็นแบบโทเค็น เป็นเหรียญ อันนี้อาจต้องใช้จินตนาการเยอะหน่อย เหมือนพวกสเตเบิลคอยน์ เอาความเชื่อมั่นมาใส่ โดยรับประกันว่าอีก 6 เดือน รัฐจะมาซื้อคืน ก็อาจจะทำได้ แต่ก็ยังนึกไม่ออก ผมว่าคงต้องรอดูรายละเอียดชัด ๆ ก่อน” ดร.พิพัฒน์กล่าว
ดรีมทีมเศรษฐกิจทำเนียบ-คลัง
แหล่งข่าวจากฝ่ายการเมืองใกล้ชิดรัฐบาลเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า นายเศรษฐาได้วาง “ดรีมทีม” เศรษฐกิจทำเนียบ-คลังไว้แล้ว โดยฝั่งทำเนียบจะมี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง นั่งเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี และมี นายปานปรีย์ พหิทธานุกร เป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ
ขณะที่ฝั่งกระทรวงการคลัง ได้มีการทาบทาม “นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ” ปลัดกระทรวงการคลัง ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในสิ้นเดือน ก.ย. 2566 นี้ เข้ามาเป็น รมช.คลัง เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระและต้องอาศัยผู้ที่เข้าใจงานของกระทรวงการคลังดีอยู่แล้วมาช่วยเป็นทีมเศรษฐกิจ
ขณะที่ตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลังนั้น จะแต่งตั้ง นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากรมาแทน ซึ่งสามารถทำงานเข้าขากับนายกฤษฎาได้เป็นอย่างดี เพราะเติบโตมาจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ด้วยกัน รวมถึงการทำนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ น่าจะต้องมีมาตรการด้านภาษีร่วมด้วย รวมถึงนายกฤษฎา และนายลวรณ เป็นกรรมการธนาคารกรุงไทย จึงมีความรู้ความเข้าใจแพลตฟอร์มเป๋าตัง เป็นอย่างดีอีกด้วย
เปิดแผน AOT 4 ท่าอากาศยาน
สำหรับนโยบายที่จะให้ AOT ปรับปรุงและเข้ามาบริหารสนามบินนั้น ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) หรือ AOT กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ไว้ก่อนหน้านี้ว่า บริษัทมีแผนลงทุนเพื่อขยายท่าอากาศยานและเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของท่าอากาศยาน ในสังกัด AOT รวมมูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาท ใน 4 ท่าอากาศยานหลัก ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการอนุมัติงบฯลงทุนจากคณะกรรมการเรียบร้อยแล้ว
ประกอบด้วย 1) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ลงทุนอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) มูลค่า 39,000 ล้านบาท รองรับผู้โดยสาร 15 ล้านคน (หลังเดิมรองรับได้ 45 ล้านคน) มีกำหนดเปิดทดลองให้บริการในเดือนกันยายนนี้ และเตรียมพัฒนาโครงการส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก (east expansion) มูลค่า 7,830 ล้านบาท รองรับผู้โดยสารได้เพิ่มอีก 15 ล้านคน โดยจะเริ่มก่อสร้างในช่วงต้นปี 2567 แล้วเสร็จประมาณปี 2570
2) ท่าอากาศยานดอนเมือง บริษัทมีแผนจะขยายให้เป็นท่าอากาศยานสำหรับเที่ยวบินที่เป็นการให้บริการแบบจุดต่อจุด (point to point) ทั้งเที่ยวบินภายในประเทศและต่างประเทศ และมีแผนสร้างอาคารหลังใหม่เรียกว่า เทอร์มินอล 3 (T3) รองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ 20 ล้านคนต่อปี
การปรับปรุงอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ (T1) กับอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ (T2) ให้รวมกัน เพื่อรองรับผู้โดยสารภายในประเทศ 30 ล้านคนต่อปี ทั้ง 2 โครงการนี้มีมูลค่าลงทุนรวม 36,000 ล้านบาท คาดว่าเปิดประมูลในช่วงปลายปี 2567 และเปิดให้บริการได้ในปี 2571 ซึ่งจะทำให้ท่าอากาศยานดอนเมืองรองรับผู้โดยสารได้ 50 ล้านคนต่อปี
3) ท่าอากาศยานภูเก็ต มีแผนลงทุนขยายอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศมูลค่า 5,700 ล้านบาท รองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศได้อีก 6 ล้านคนต่อปี จากปัจจุบันที่รองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ 6 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 6 ล้านคน ซึ่งจะทำให้ศักยภาพรวมของภูเก็ตรองรับผู้โดยสารได้ถึง 18 ล้านคนต่อปี
4) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ อยู่ระหว่างการเตรียมก่อสร้างพื้นที่รองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศหลังใหม่ รองรับผู้โดยสาร 6 ล้านคน คาดว่ามูลค่าประมาณ 12,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2567 ส่วนอาคารผู้โดยสารเดิมที่รองรับผู้โดยสารทั้งในประเทศและระหว่างประเทศมารวมเป็นอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ เพื่อให้รองรับผู้โดยสารภายในประเทศอย่างเดียวที่ประมาณ 12 ล้านคนต่อปี
นอกจากนี้ AOT ยังมีแผนรับมอบ 3 ท่าอากาศยานจากกรมท่าอากาศยาน (ทย.) มาบริหาร ได้แก่ กระบี่, อุดรธานี และบุรีรัมย์ คาดว่าจะเรียบร้อยภายในสิ้นปีนี้ และเพื่อให้ท่าอากาศยานทั้ง 3 แห่งนี้ดำเนินการภายใต้มาตรฐานเดียวกับอีก 6 ท่าอากาศยานของ AOT
ในเบื้องต้นบริษัทประเมินงบฯลงทุนเพิ่มเติมไว้ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยโครงการพัฒนาและขยายท่าอากาศยานทั้งหมดของ AOT ส่วนใหญ่จะเสร็จสมบูรณ์ในช่วงปี 2570-2571 เมื่อถึงเวลานั้น 9 ท่าอากาศยานในสังกัดจะมีขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยทั้งในประเทศและระหว่างประเทศรวม 220 ล้านคนต่อปี
โรงแรม-ร้านอาหาร หวั่นอ่วมค่าแรง
นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” กรณีค่าแรง 600 บาท/วันว่า จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการหนักมาก โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs โรงแรมขนาดกลางและขนาดเล็ก
ตอนนี้สมาคมโรงแรมไทยเตรียมหารือร่วมกับสมาคมท่องเที่ยวในกลุ่มของสมาพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย หรือ เฟตต้า (FETTA) เพื่อนัดพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯคนใหม่ เพื่อหารือถึงแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยว และให้ข้อมูลถึงผลกระทบจากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงของรัฐบาล ต้นทุนพลังงาน และแรงงานขาดแคลน
เช่นเดียวกับ นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าการปรับขึ้นค่าแรงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ต้องผ่านคณะกรรมการไตรภาคี หากมีการปรับขึ้นค่าแรงจะส่งผลกระทบหนักมาก เพราะทำให้ต้นทุนการทำธุรกิจปรับตัวสูงขึ้น “สถานการณ์ในวันนี้ยังไม่เหมาะที่จะปรับขึ้นค่าแรง เพราะตอนนี้เจ้าของธุรกิจอยู่ยากมาก แม้แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ก็ยังไม่มีใครบอกว่าดีเลย ส่วนรายเล็กไม่ต้องพูดถึง” นางฐนิวรรณกล่าว
ด้านนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ที่กล่าวว่า อยากฝากให้รัฐบาลพิจารณานโยบายค่าแรงให้ถูกต้องเหมาะสม และขึ้นค่าแรงอย่างระมัดระวังและพิจารณาต้นทุนผู้ประกอบการด้วย “การขึ้นค่าแรงเป็นสิ่งที่ดี เพราะทำให้แรงงานมีรายได้เพิ่ม แต่ไม่อยากให้มองด้านเดียว อยากให้พัฒนาทักษะแรงงานไปพร้อม ๆ กับค่าแรง ถ้าขึ้นค่าแรงทั่ว ๆ ไป ผู้ประกอบการก็อาจเดือดร้อน” นางศุภจีกล่าว