รัฐบาลเพื่อไทย-ก้าวไกล-สว. ศึก 3 เส้า เกมใหญ่แก้ไขรัฐธรรมนูญ

แก้รัฐธรรมนูญ
คอลัมน์ : Politics policy people forum

ภาพที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ลงมติ “คว่ำ” ญัตติของพรรคก้าวไกล ที่ขอให้สภาพิจารณาเห็นชอบและแจ้งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อสอบถามความเห็นของประชาชนต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ด้วยคะแนน เสียงข้างมาก 262 ต่อ 162 เสียง และงดออกเสียง 6 เสียง ถือว่าญัตติของพรรคก้าวไกล ไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภา เมื่อ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นแค่ “ยกแรก” ในศึกแก้รัฐธรรมนูญ

พรรคก้าวไกลก็รู้อยู่เต็มประดาว่า พรรคเพื่อไทย และรวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลไม่ยอมให้ฝ่าด่านไปได้ เนื่องจาก คำถามประชามติของพรรคก้าวไกล ต้องการถามประชาชนให้สิ้นความว่า ต้องการรัฐธรรมนูญ “ทั้งฉบับ” หรือไม่

ขณะที่โจทย์ของรัฐบาลเพื่อไทย ปกธง แก้ทั้งฉบับ แต่ยกเว้นหมวด 1 หมวด 2 และมาตราที่เกี่ยวข้องกับพระราชอำนาจในมาตราต่าง ๆ ของรัฐธรรมนูญ

ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ญัตติของพรรคก้าวไกลจะผ่านเสียงส่วนใหญ่ของสภา

อย่างไรก็ตาม ศึกรัฐธรรมนูญ จะเป็น “วาระใหญ่” ระดับ “ใหญ่มาก” ของการเมือง ในศักราช 2567 เพราะจะต้องมีด่านของการทำประชามติ การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เพื่อเพิ่มช่องทางการแก้รัฐธรรมนูญโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) รวมถึง การเลือกตั้ง สสร.

ADVERTISMENT

แม้ในวันนี้รัฐบาล ตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 โดยมี ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ เป็นหัวเรือใหญ่

และแตกคณะออกเป็น 2 อนุกรรมการย่อย 1.คณะอนุกรรมการศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2.คณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติ

ADVERTISMENT

แต่ก็อาจทำให้การแก้รัฐธรรมนูญที่ตั้งลูกโดยรัฐบาลเพื่อไทย เผชิญอุปสรรคในหลายด่าน

กับดักประชามติ

จนถึงนาทีนี้ คณะอนุกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ ยังมีความคิดที่หลากหลายว่า จะต้องทำ “ประชามติ” กันกี่ครั้ง กี่รอบ และการดีไซน์คำถามควรตั้งคำถามอย่างไร

เพราะก่อนหน้านี้เคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2564 โดยเสียงข้างมากวินิจฉัยว่า รัฐสภามีหน้าที่และอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องให้ประชาชนลงประชามติเสียก่อนว่าต้องการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่

หากตีความตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ รัฐบาลก็จะต้องทำประชามติตามคำวินิจฉัยดังกล่าว เป็นครั้งที่ 1 โดยครั้งที่หนึ่ง จะต้องดีไซน์คำถามในกรอบที่ว่า จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ โดยกระบวนการ สสร. และไม่แก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์

ต่อมา หากประชาชน “ไฟเขียว” ให้มีการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ จากนั้นต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อปลดล็อกให้มีการตั้ง สสร. ขึ้นมาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจจะต้องทำประชามติ เป็นครั้งที่ 2

เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 256 (8) กำหนดในส่วนองค์กรอิสระว่า เรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออํานาจของศาลหรือองค์กรอิสระ หรือเรื่องที่ทําให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่อาจปฏิบัติตามหน้าที่หรืออํานาจได้ ก่อนรัฐสภาลงมติในวาระที่ 3 จะต้องมีการทำประชามติ

ถ้าได้รับความเห็นชอบจากประชาชน จากนั้นเข้าสู่กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ โดย สสร. เมื่อทำเสร็จต้องมีการทำประชามติ เป็นครั้งที่ 3 ว่า ประชาชนเห็นชอบกับ ร่างรัฐธรรมนูญที่ สสร. ร่างขึ้นหรือไม่

ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า ข้อสรุปของคณะกรรมการศึกษาชุดใหญ่ จะได้ข้อสรุปทั้งหมดในสิ้นปีนี้ และเปิดศักราช 2567 ก็เดินหน้าตามโรดแมปทำประชามติทันที

อย่างไรก็ตาม การออกเสียงประชามติที่จะเกิดขึ้นในปี 2567 นั้นแตกต่างกับการทำประชามติรัฐธรรมนูญ 2560 เมื่อ 7 สิงหาคม 2559 เพราะครั้งนั้น ใช้ “เสียงข้างมาก” ชี้ขาด

แต่ปัจจุบัน พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ 2564 มาตรา 13 บัญญัติว่า การออกเสียงที่จะถือว่ามีข้อยุติ ในเรื่องที่จัดทำประชามติ ต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และมี จำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิออกเสียง ในเรื่องที่จัดทำประชามตินั้น

ตัวอย่าง เช่น มีผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ จำนวน 52 ล้านคน จะต้องมีผู้มาใช้สิทธิเข้าคูหาออกเสียงประชามติ ไม่น้อยกว่า 26 ล้านคน คือ เกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และจะต้องมีเสียงเห็นชอบกับเรื่องที่ทำประชามติ เกินครึ่งของผู้มาใช้สิทธิ

ดังนั้น การทำประชามติให้ชนะทั้ง 3 ยก ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วย

กับดักเสียง สว. 1 ใน 3

ในขณะเดียวกัน ยังมีช่วงเวลา “เปลี่ยนผ่าน” สำคัญ คือ สว. 250 คน ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งทำหน้าที่ “องครักษ์” พิทักษ์รัฐธรรมนูญ 2560 มาตลอด กำลังจะ “หมดวาระ” ช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 แต่ระหว่างที่มีการหา สว.ชุดใหม่ ที่จะลดเหลือ 200 คน ในระบบ “สูตรไขว้เลือกกันเอง” ในกลุ่มอาชีพนั้น สว. 250 คน จากยุค คสช. อาจทำหน้าที่ “รักษาการ” จนกว่าจะมี สว.ชุดใหม่ครบ 200 คน

อีกทั้งรัฐบาลยังต้องอาศัยเสียง สว.ในการโหวตเห็นชอบการแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อเปิดช่องให้มี สสร. ทุกกระบวนการในรัฐสภา เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 256 (3) และ (6) ซึ่งเกี่ยวข้องกับวาระที่ 1 วาระรับหลักการ และวาระที่ 3 จะต้องมี สว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 เห็นชอบด้วย

หากเป็นจังหวะที่ สว. 250 คนชุดเดิม ยังปฏิบัติหน้าที่ อาจต้องใช้เสียง 84 เสียง ในการเห็นชอบ หรือถ้า สว.ชุดใหม่ เหลือ 200 คน จะต้องใช้เสียง 66 เสียง ในการเห็นชอบ

“สมคิด เชื้อคง” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่จับงานด้าน “การเมือง” และประสานงานระหว่างทำเนียบรัฐบาลและสภา กล่าวว่า “อย่านึกว่าการแก้รัฐธรรมนูญจะเดินไปคนเดียวได้ แม้จะมี สว.ชุดใหม่ สุดท้ายก็มีรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ต้องใช้เสียง 1 ใน 3 ของ สว.อยู่ดี ดังนั้นต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน ทั้ง สส. และ สว. ห้ามคิดว่า สว.มีไว้ทำไม เพราะตอนจะแก้ต้องอาศัยเขา ไม่เช่นนั้น จะมี สสร.ไม่ได้”

กับดักฝ่ายค้าน

อีกด้านหนึ่ง ฝ่ายค้านก้าวไกลก็จะมีบทบาท “คัดง้าง” กับฝ่ายรัฐบาลได้ หากถูกรัฐบาล “มัดมือชก” แก้รัฐธรรมนูญ

เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 256 (6) เปิดช่องไว้ว่า การลงมติในวาระที่ 3 นอกจากจะต้องมีการลงคะแนนโดยเปิดเผย และคะแนนเห็นชอบจะต้องมีมากกว่ากึ่งหนึ่งของ รัฐสภา 750 คน (700 คน หากเป็น สว.ชุดใหม่) แล้วยังต้องได้รับคะแนนเห็นชอบจากพรรคการเมืองที่ไม่มีรัฐมนตรี ไม่มีประธานสภา หรือรองประธานสภา ไม่น้อยกว่า 20% ของทุกพรรคการเมืองรวมกัน

ดังนั้น พรรคก้าวไกลที่มี สส.ถึง 150 คน หากไม่เห็นชอบ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดทางให้มี สสร. หรือให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็ไปไหนไม่ได้ ติดเดดล็อก

ดังนั้น รัฐบาลเพื่อไทย ไม่อาจแก้รัฐธรรมนูญได้ตามอำเภอใจ เพราะมีกับดักเยอะแยะไปหมด