คอลัมน์ : Politics policy people forum
ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรก ที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” นั่งหัวโต๊ะในฐานะประธานที่ประชุม เมื่อวันที่ 13 กันยายน
วาระหนึ่งที่สะเทือนองคาพยพรัฐบาลเก่า ที่มี “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นหัวขบวน คือคำสั่งที่ “ชัย วัชรงค์” โฆษกรัฐบาลนำมาเผยแพร่
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
“ให้กระทรวง ทบวง กรม ที่ในอดีตได้รับคำสั่ง คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) หรืออำนาจ คสช. แล้วยังต้องปฏิบัติตามนั้น ให้ไปทบทวนทั้งหมด ว่าบรรดาคำสั่ง คสช. หรือหัวหน้า คสช. ทั้งหลายทั้งปวง ยังมีอะไรที่มันจำเป็นต้องคงไว้ไหม และต้องเสนอกลับมาภายในวันที่ 9 ตุลาคม ถ้าไม่เสนอมาถือเป็นอันยกเลิกทั้งหมด”
“เราเปลี่ยนยุคแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้มักจะมีการตีความว่าใครที่อยากริเริ่มอะไรมักจะเจออุปสรรคว่ากฎหมายไม่ได้อนุญาตไว้ กลายเป็นทำนองว่าจะทำอะไรใหม่ ๆ ได้ต้องให้มีกฎหมายอนุญาต แต่รัฐบาลที่นำโดยนายเศรษฐา เราเปลี่ยนใหม่ ประชาชนริเริ่มทำได้ทุกอย่าง ตราบใดที่ไม่มีกฎหมายห้าม ต้องถือว่าทำได้”
กฎหมาย คสช. 456 ฉบับ
จากวันที่นายเศรษฐาออกคำสั่งมาถึงวันนี้ ทีมงานรัฐบาลรวบรวมประกาศ-คำสั่ง คสช. 132 ฉบับ จาก 456 ฉบับ ชงให้รัฐบาลออกมติ ครม. หรือออกกฎหมายยกเลิก โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท
ประเภท 1.ประกาศ คสช.ซึ่งมีสถานะบังคับใช้เป็นกฎหมาย 132 ฉบับ อาทิ คําสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 22/2558 เรื่องมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหา การแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทาง และการควบคุมสถานบริการ หรือสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ
คําสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 27/2559 เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากการจุดและปล่อยบั้งไฟ พลุ-ตะไล โคมลอย โคมไฟ โคมควัน หรือวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน
คําสั่ง หัวหน้า คสช.ที่ 6/2562 เรื่อง มาตรการส่งเสริมและพัฒนามาตรฐาน การประกอบธุรกิจโรงแรมบางประเภท
ประเภท 2.คำสั่ง คสช. ที่ไม่ใช่เป็นการออกกฎเกณฑ์ที่มีผลบังคับใช้เป็นการทั่วไป 324 ฉบับ แบ่งออกเป็นคำสั่งที่เกี่ยวกับการบริหาร โยกย้าย เรียกคนมารายงานตัว 166 ฉบับ คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว มาตรา 44 จำนวน 158 ฉบับ
เช่น คําสั่ง คสช. ที่ 110/2557 เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ด้านโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม
คําสั่ง คสช. ที่ 175/2557 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว
อย่างไรก็ตาม ในยุค พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ มีประกาศ-คำสั่งที่ยกเลิกไปบางส่วน หรือยกเลิกเพราะเสร็จสิ้นภารกิจ หรือสิ้นผลไปในตัวเอง 246 ฉบับ
เช่น ย้อนไปเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2562 มีคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 9/2562 ให้ยกเลิกประกาศ คสช. จำนวน 32 ฉบับ คำสั่ง คสช. 29 ฉบับ และคำสั่ง คสช. 17 ฉบับ รวม 78 ฉบับ
ทว่าปัจจุบันยังเหลือประกาศ-คำสั่ง คสช. อีก 132 ฉบับที่บังคับใช้อยู่ ในจำนวนนี้มีบางส่วนอยู่ระหว่างจัดทำกฎหมาย มาบังคับใช้แทน เพื่อทำให้ประกาศ หรือคำสั่ง คสช.ถูกยกเลิกไป
3 สเต็ป โละคำสั่ง คสช.
เปิดแผน “กีโยติน” ประกาศ – คำสั่ง คสช.โดยฝ่ายกฎหมาย ประจำทำเนียบรัฐบาล เตรียมแผนอาศัยรัฐธรรมนูญมาตรา 279 พิจารณาว่าคำสั่งมีสถานะเป็นกฎหมาย หรือเป็นเพียงแจ้งข้อความ หรือเป็นการตั้งคณะกรรมการ ใช้อำนาจทางบริหาร ก่อนจะทำการลบ-ล้าง
หากประกาศ-คำสั่งมีสถานะบังคับใช้เป็นกฎหมาย การยกเลิกต้องทำเป็นพระราชบัญญัติ ชงร่างกฎหมายเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ให้ออกกฎหมายมายกเลิก
หรือหากมีอำนาจทางบริหาร สามารถยกเลิกได้โดยคำสั่งนายกฯ หรือมติ ครม. ต้องพิจารณา “รอบคอบ” ว่าประกาศ-คำสั่งดังกล่าวมีความเหมาะสมและจำเป็นในปัจจุบันหรือไม่ ผ่าน 3 สเต็ป
สเต็ปแรก อ้างอิงบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 279 เรื่องการยกเลิกคำสั่ง ประกาศของ คสช.
“การยกเลิก หรือแก้ไขเพิ่มเติมประกาศ หรือคําสั่งดังกล่าว ให้กระทําเป็นพระราชบัญญัติ เว้นแต่ประกาศ หรือคําสั่งที่มีลักษณะเป็นการใช้อํานาจทางบริหาร การยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมให้กระทําโดยคําสั่งนายกรัฐมนตรี หรือมติคณะรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี”
สเต็ปที่สอง เทียบเคียงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 30/2563 ได้วินิจฉัย เรื่อง ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 29/2557 เรื่องให้บุคคลมารายงานตัวตามคำสั่งของ คสช. และประกาศ คสช. ฉบับที่ 41/2557 เรื่อง กำหนดให้การฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเรียกบุคคลให้มารายงานตัวเป็นความผิด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 4 มาตรา 26 มาตรา 27 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม และมาตรา 29 วรรคหนึ่ง หรือไม่
โดยเรื่องดังกล่าวศาลแขวงดุสิต ได้ส่งคำโต้แย้งของ “วรเจตน์ ภาคีรัตน์” อาจารย์นิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 2074/2562
อัยการศาลทหารกรุงเทพ กระทรวงกลาโหม เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ เป็นจำเลยต่อศาลทหารกรุงเทพ ในความผิดฐานฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเรียกบุคคลให้มารายงานตัว ตามคำสั่ง คสช.
อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ประกาศ คสช.ดังกล่าวขัดกับรัฐธรรมนูญ 2560 โดยคำวินิจฉัยวางหลักไว้ว่า “การพิจารณากฎหมายที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองคุ้มครองไว้นั้น ย่อมต้องพิจารณาสภาพการณ์ของเหตุการณ์บ้านเมือง ตลอดจนวิถีการดำเนินชีวิตของประชาชนในขณะที่มีการตรากฎหมาย”
“เมื่อยามที่บ้านเมืองปกติสุข การใช้ชีวิตของปัจเจกบุคคลย่อมแตกต่างไปจากสถานการณ์ดังกล่าว โดยเฉพาะหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 รัฐธรรมนูญได้รับรองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลไว้ตามมาตรา 29 วรรคหนึ่ง โดยบุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา”
สเต็ปที่ 3 นำมาประกอบกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 ที่บัญญัติว่า รัฐพึงจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าที่จําเป็น และยกเลิก หรือปรับปรุง กฎหมายที่หมดความจําเป็น หรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดําเนินชีวิต
ทั้ง 3 สเต็ป 3 ขั้นบันได รัฐบาลเศรษฐา จะออกเป็น ร่างพระราชบัญญัติกลางขึ้นมา 1 ฉบับ โดยคำสั่ง-ประกาศ คสช.ที่ไม่เข้ากับยุคสมัย จะถูกนำมาใส่ไว้ในบัญชีท้ายร่างพระราชบัญญัติ ในฐานะกฎหมายของรัฐบาลชงเข้าสู่สภา เพื่อยกเลิก–หรือ คำสั่ง–ประกาศ คสช. ที่สามารถใช้เป็นกฎหมายต่อไปได้ ก็ให้ปรับเปลี่ยนให้เป็นพระราชบัญญัติโดยกระบวนการสภา
ถึงเวลาที่คำสั่ง คสช.ต้องถูกลบ ถูกเลิก และถูกล้าง เพราะหมดยุครัฐบาลที่มาจากรากรัฐประหารแล้ว