พิธา อัดรัฐบาลเศรษฐามืด 8 ด้าน รับ อาจอภิปรายครั้งสุดท้ายในการเมือง

Pita Limjaroenrat

พิธาไม่เสียใจหากก้าวไกลถูกยุบพรรค อาจเป็นการอภิปรายครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมือง  อัดวิสัยทัศน์รัฐบาลเศรษฐา มืด 8 ด้าน แนะเศรษฐา ผู้นำคือการฟังเพื่อตอบสนอง ไม่ได้ตอบโต้ตลอดเวลา 

วันที่ 5 เมษายน 2567 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวสรุปญัตติอภิปรายทั่วไปไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เมื่อเวลาประมาณ 01.20 น.ว่า ขอพูดความในใจเล็กน้อย ตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา ไม่เสียใจที่ไม่ได้เป็นผู้บริหาร แม้ตนจะชนะการเลือกตั้ง สามารถรวบรวมเสียงได้ 312 เสียง ไม่เคยเสียใจที่ต้องมาเป็นฝ่ายค้าน เพราะเชื่อว่าการเป็นฝ่ายค้านนั้นก็มีความสำคัญกับระบบประชาธิปไตย

การเป็นฝ่ายค้านสามารถทำงานให้กับพี่น้องประชาชนได้ สุขภาพประชาธิปไตยไม่ได้วัดอยู่ที่ว่ารัฐบาลนั้นมีอำนาจเบ็ดเสร็จแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่าฝ่ายค้านแอ็กทีฟแค่ไหน ทำงานให้กับประชาชนมากน้อยเพียงใด แล้วก็ไม่เคยเสียใจว่าการอภิปรายในครั้งนี้ อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมืองของตน ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอะไร ชีวิตทางการเมืองของตนแขวนอยู่บนเส้นด้าย

แต่ตนพร้อมจะจากไปอย่างผู้ชนะ ไม่มีอะไรติดค้างใจต่อไป ยิ่งได้เห็นเพื่อน สส.รุ่นหนึ่ง รุ่นสองก็รู้สึกเบาใจ ไม่มีอะไรที่ต้องค้างคาอีกต่อไป และมั่นใจว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพรรคของตน ไม่ว่าจะเป็นการยุบพรรคหรือการทำลายพรรคก้าวไกล ก็ไม่ทำให้การเดินทางสู่การเปลี่ยนแปลงของประเทศหายไป

“เผลอ ๆ ยิ่งยุบพรรคจะยิ่งทำให้เราถึงเส้นชัยได้เร็วขึ้นด้วยซ้ำไป ผมจึงไม่เสียใจ แต่ผมเสียดาย ยิ่งได้ฟังการชี้แจงของคณะรัฐมนตรีในช่วง 2 วันที่ผ่านมา รู้สึกเสียดายโอกาสของประเทศไทย เสียดายเวลาประเทศไทยที่เสียไป เสียดายศรัทธาของพี่น้องประชาชน เสียดายส่วนตัวที่เคยให้คะแนนพรรคท่านตั้งแต่ปี’43 แต่วันนี้ความสะเปะสะปะ ความล่องลอย ฟังแล้วไม่รู้ว่าวาระของรัฐบาลชุดนี้คืออะไร

ที่หาเสียงไว้ก็ไม่ทำ ที่ทำไว้ก็ไม่ได้หาเสียง ทำให้ตนรู้สึกว่ารัฐบาลชุดนี้ไร้วาระ รัฐบาลชุดนี้ไม่มีวาระเป็นของตัวเอง พอไร้วาระก็ไร้วิสัยทัศน์ พอไร้วิสัยทัศน์ก็ไร้ผลงาน นี่เป็นสิ่งที่ต่อเนื่องมาตลอด ทำให้ตนเสียดายในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา” นายพิธากล่าว

ADVERTISMENT

นายพิธากล่าวว่า ตนกังวลว่าวิสัยทัศน์ของรัฐบาลคือความมืดแปดด้านของพี่น้องประชาชน โดยมืด 1.คือเรื่องปากท้อง 2.มืดแก้ส่วย 3.มืดผูกขาด สามมืดนี้ท่านล้มเหลวโดยสิ้นเชิง 4.มืดกระตุ้นเศรษฐกิจกับ 5.มืดแก้ไขรัฐธรรมนูญล่าช้า ส่วน 6.มืดปฏิรูปกองทัพ 7.มืดมนคุณภาพชีวิต และ 8.มืดกระบวนการยุติธรรม อันนี้ท่านละเลย

ตนรู้สึกว่ามีอย่างเดียวที่ถกกันไม่ตกผลึก คือเรื่องมืดปฏิรูปกองทัพ ท่านนายกฯบอกว่าฝ่ายค้านงงตนก็งงท่านเหมือนกัน ท่านนายกฯบอกว่างงฝ่ายค้าน

ADVERTISMENT

พูดแต่เรื่องเดิม ๆ พูดแต่เรื่องที่ผ่านไปแล้ว ซึ่งตนก็งงท่านเหมือนกัน ก่อนเลือกตั้งก็พูดอย่าง หลังเลือกตั้งก็พูดอีกอย่าง ทั้งนี้ จุดยืนปฏิรูปกองทัพของก้าวไกล คือเพื่อป้องกันการแทรกแซง ให้ทหารเป็นมืออาชีพ ต่อต้านการรัฐประหาร ยกเลิกการเกณฑ์ทหารโดยเกณฑ์ทหารสมัครใจ ฝ่ายค้านเลยงงว่าตอนเป็นฝ่ายค้านเหมือนกันก็คิดเหมือนกัน ก่อนเลือกตั้งหลังเลือกตั้งตนพูดเหมือนเดิม แต่หลังเลือกตั้งท่านกลับไม่เหมือนเดิม

นายพิธากล่าวต่อว่า ที่ท่านบอกว่างงเรื่องจุดยืนอาวุธที่บอกว่าจะเอาเรือประมงไปรบ ซึ่งตนเดาเอาว่าท่านคงหมายถึงตน เพราะตนเคยพูดเรื่องแบบนี้ตอนช่วงเลือกตั้ง มันมีอยู่จริง เรื่องนี้มีอยู่จริง ตนมีสามหลักฐานข้อมูลที่อยากให้เข้าใจกัน โดยข้อมูลที่ได้มาจากทหารเรือและเพื่อนทหารเรือหลาย ๆ ชาติ

เพราะภัยความมั่นคงเปลี่ยนไป โดยสงครามผสมที่ผ่านมามีการใช้เรือประมงปลอมให้เป็นส่วนหนึ่งของอาวุธกองทัพในการทำลายขวัญและเรื่องของจิตวิทยา ซึ่งก็เป็นข้อมูลจากสื่อระดับโลก หลักปฏิรูปกองทัพของเราเพื่อให้มีหลักสิทธิมนุษยชน มีความเป็นมืออาชีพ มีอาวุธที่เหมาะสม โดยสามารถสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ไม่เบียดเบียนภาษีของพี่น้องประชาชนมากเกินไป ไม่ใช่ว่าไม่ให้ซื้ออาวุธอะไรเลย

นายพิธากล่าวอีกว่า นอกจากนี้ตนขอสะสางข้อเท็จจริงที่ใช้ในการอภิปรายครั้งนี้ทั้งหมด ตนพอจะจับทางท่านนายกฯได้แล้ว ในเรื่องของเศรษฐกิจตนจับคำพูดท่านได้คำนึงว่าอยากจะเน้นเรื่องบวก ให้มันเป็นแสงสว่าง ท่านอยากจะเน้นที่โอกาสของประเทศ แต่ในข้อเท็จจริงเราไม่ได้มีแค่บวก เรามีจุดแข็ง มีความท้าทายและมีโอกาสที่เข้ามา ถ้าผู้นำโฟกัสแต่เรื่องบวกอย่างเดียว ท่านก็จะเกาไม่ถูกที่คัน ท่านก็จะวินิจฉัยผิดตลอดเวลาที่นายกฯ เลือกเอาตัวเลขมาพูดในสภา ท่านเน้นแต่ตัวเลขที่เป็นบวกที่เป็นผลดีกับรัฐบาล แต่เป็นเพียงเหรียญด้านเดียวที่ไม่เห็นปัญหาของพี่น้องประชาชน

นายพิธากล่าวว่า ท่านนายกฯเน้นตัวเลขที่เป็นประโยชน์แต่ไม่ได้ดูบริบท เน้นราคามากกว่าคุณภาพชีวิตประชาชน เน้นที่จะพึ่งปัจจัยต่างประเทศโดยไม่ได้เน้นพลังจากภายในมากนัก เช่น เรื่องราคายางที่ท่านบอกว่าดีที่สุดในรอบ 10 ปี ซึ่งก็จริง แล้วก็ถูก แต่ถูกไม่หมด เพราะจริง ๆ แล้วราคายางในรอบ 10 ปีที่ผ่านมามีขึ้นมีลงตามฤดูกาล ท่านควรเน้นเรื่องคุณภาพชีวิตประชาชน

กลับไปภูมิใจเรื่องของปริมาณและราคา ขณะที่รายได้ของเกษตรกรลดลง 8% ข้อมูลมาจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ดังนั้นเวลาที่จะโฟกัสอะไรต้องโฟกัสให้รอบด้าน อะไรที่ราคาสูงมากแต่รายได้เกษตรกรลดน้อยลง ทั้งนี้ ตนแปลกใจที่ รมว.เกษตรฯ พูดว่าข้อมูลตนผิด ซึ่งท่านทราบข้อมูลก่อนที่ตนจะอภิปรายได้อย่างไร มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ข้อมูล แต่มีรัฐมนตรีรู้ข้อมูลตนก่อนการอภิปราย ถือเป็นเรื่องความเชื่อมั่นเชื่อถือของสภานี้

นายพิธากล่าวต่อว่า ในส่วนของการผลิต ท่านนายกฯใช้คำว่าสึนามิแห่งการลงทุน ตนรู้สึกดีใจ แต่ก็ต้องอธิบายให้นายกฯเข้าใจ ตนกังวลว่าจะเป็นสึนามิทางการลงทุนจริง ๆ เพราะไตรมาสที่สี่ในการที่ท่านมาเป็นรัฐบาล การลงทุนเยอะมากขึ้น 2.5 เท่าก็เป็นเรื่องจริง แต่ไทยอยู่ที่อันดับหก นำแค่กัมพูชา ลาว และเมียนมา 2 ปีซ้อน เราเป็นประเทศเดียว หากดูในรีพอร์ตของเวิลด์แบงก์นำแค่เมียนมา ยังไม่รวมการขาดดุลทางบัญชีการค้า การทำงบประมาณ ก็ต้องฝากรัฐบาลว่าให้ระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งว่าสึนามีทางเศรษฐกิจของท่านภายใน 2 ปี ถ้ามาจริง ๆ ภาคธุรกิจไทยจะไปอย่างไรต่อ

นายพิธากล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องข้อเสนอแนะมี 3 ข้อ 1.ถ้าท่านอยากจะกอบกู้ภาวะความเป็นผู้นำของรัฐบาล ตนว่าถึงเวลาแล้วที่ท่านต้องปรับ ครม.ได้แล้ว นำผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่องเข้ามาทำงาน ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เหมาะสม เพราะ 7 เดือนพอจะเห็นภาพว่าใครที่มีประสิทธิภาพ ใครที่รู้จริงกับเรื่องที่ทำ 2.ถึงเวลาที่นายกฯจะมีโรดแมปได้แล้ว ไม่ได้สำคัญว่าทำอะไร What to do แต่สำคัญที่ Why When and How แล้วขอให้วางโรดแมปว่าไตรมาสนี้ ในช่วงนี้จะทำอะไร เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนได้จริง มีองคาพยพมาช่วยท่าน

แต่หากพูดลอย ๆ ไปเรื่อย ๆ ก็ยากจะทำให้เกิดผลลัพธ์ได้จริง ๆ สุดท้ายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของคนที่จะเป็นผู้นำ คือการฟัง อยากขอแนะนำท่านว่าฟังเพื่อให้ตอบสนอง ไม่ได้ฟังเพื่อตอบโต้ตลอดเวลา เพราะบางทีเสียงที่ท่านไม่ได้อยากได้ยินที่สุด คือเสียงที่ประเสริฐที่สุดอย่างที่ท่านเคยให้สัมภาษณ์ไว้