โจทย์ร้อน แพทองธาร 1/1 แก้วิกฤตเศรษฐกิจ หนีกับดักการเมือง

ครม. แพทองธาร
คอลัมน์ : Politics policy people forum

รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร เดินหน้าตัดสินใจรวบเสียง 11 พรรคการเมือง 262 เสียง ฝ่ามรสุมการเมืองไปต่อ หลังเรียกหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ถกหารือเมื่อ 22 มิถุนายน 2568

“ขอขอบคุณคณะกรรมการบริหารและสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลทุกท่าน ที่มีมติและประกาศแนวทางสนับสนุนรัฐบาล ร่วมกันสร้างเสถียรภาพทางการเมือง เพื่อรับมือต่อภัยคุกคามความมั่นคงของชาติจากภายนอก และขับเคลื่อนนโยบายแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน” แพทองธาร โพสต์ลงโซเชียลมีเดียหลังการประชุม

ฝุ่นตลบปรับ ครม.

ขณะที่รัฐบาลแพทองธาร 1/1 ใกล้เป็นรูปเป็นร่าง หลังจากพรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งมีอยู่อย่างเป็นทางการ 262 เสียง กับอีก 5 เสียงที่เป็น “งูเห่า”

ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 142 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคกล้าธรรม 27 เสียง (รวมเสียง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน 1 เสียง) พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรคประชาชาติ 9 เสียง พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง และพรรคไทยก้าวหน้า 1 เสียง และ 5 เสียงไทยสร้างไทย

การนับโควตา ครม.รอบนี้ใช้สูตร 7 ต่อ 1 หารจำนวนเก้าอี้รัฐมนตรี ซึ่งปัญหาการปรับ ครม.รอบนี้โจทย์ใหญ่ของพรรคเพื่อไทย อยู่ที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” ต้องลุกจากเก้าอี้ รมว.กลาโหม โดยมีชื่อ พล.อ.สุนัย ประภูชะเนย์ อดีตผู้ช่วย ผบ.ทบ. และอดีตผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ จะมานั่งเก้าอี้ตัวนี้แทน คนจัดโผจึงต้องหาที่ทางที่เหมาะสมกับ “ภูมิธรรม” ในฐานะผู้จัดการรัฐบาล หนีไม่พ้นกระทรวงมหาดไทย หรือกระทรวงพาณิชย์

จึงกระทบชิ่งไปยังคนอื่น ๆ เช่น ประเสริฐ จันทรรวงทอง แม้มีข่าวมาตลอดว่าจะเป็น มท.1 แต่พอทีเด็ดทีขาด ชื่อกลับไปโผล่ที่กระทรวงแรงงาน หรืออยู่ที่เดิมที่กระทรวงดีอี

ขณะที่พรรคอื่น ๆ เริ่มทยอยส่งโควตา โดยพรรคประชาธิปัตย์ได้เก้าอี้ รมช.มหาดไทยเพิ่มขึ้นมา ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ยังได้ 2 รัฐมนตรีว่าการ 2 รัฐมนตรีช่วยเช่นเดิม ส่วนพรรคกล้าธรรม ส่งชื่อให้นายกฯตัดสินใจแล้วเช่นกัน โดยสลับ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ จาก รมว.เกษตรฯ ไปเป็น รมว.การอุดมศึกษาฯ ขณะที่ อรรถกร ศิริลัทธยากร กลับมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีอีกครั้ง อัพเกรดเป็น รมว.เกษตรฯ

ADVERTISMENT

270 เสียง หนีวาระร้อน

วิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปรัฐบาล ยืนยันว่ารัฐบาลยังไปต่อได้ เพราะขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลยังอยู่ครบ มีเพียงพรรคภูมิใจไทยเท่านั้นที่ออกไปเป็นฝ่ายค้าน ส่วนเสียงพรรคร่วมรัฐบาลยังอยู่ที่ 11 พรรค 262 เสียงหรือไม่นั้น คิดว่ายังมี สส.อีกหลายคนที่อยากเข้าร่วมรัฐบาล แต่ด้วยมารยาทยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ ซึ่งตัวเลข สส.ในฝ่ายรัฐบาล ถึง 270 เสียงแน่ ๆ และนาทีนี้ยังเชื่อมั่นว่ารัฐบาลอยู่ครบเทอม

3 เดือนเห็นผล

“ควรให้โอกาส ครม.ชุดใหม่ ทำงานให้อย่างเต็มที่เสียก่อน ซึ่งส่วนตัวมั่นใจว่านายกรัฐมนตรีคัดสรรมาแล้ว รัฐบาลชุดใหม่จะทำงานแก้ไขปัญหาประชาชนได้ดีขึ้นกว่าเดิม ส่วนศึกภายนอก เชื่อมั่นว่าทหารจะไม่ยอมถอยให้แม้แต่ตารางนิ้วเดียว และเมื่อมีการบูรณาการกัน จะทำให้ประเทศชาติบ้านเมืองเราอยู่ได้ เพราะมองว่ากัมพูชาไม่ใช่คู่ต่อสู้เรา เนี่ยทำให้มองว่าเวลาทหารเขา (ทหาร) จะซื้ออาวุธ คุณอย่าไปด่าเขามากนัก วันนี้ก็เห็นว่าทหารมีไว้ทำไม ถึงเวลาก็ต้องพึ่งเขา”

มั่นใจว่าการทำงานของรัฐบาลจากนี้จะชัดเจน อาทิ การปราบยาเสพติด เพราะที่ผ่านมาดำเนินการอย่างไม่เต็มสูบ รวมถึงการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งต้องให้ผู้นำท้องถิ่นเข้ามาร่วม เพราะหัวใจสำคัญการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลหลายเรื่อง กระทรวงมหาดไทยคือหัวใจสำคัญ ต้องใช้ฝ่ายปกครองขับเคลื่อน

“ผมเชื่อว่าครั้งนี้นายกฯตัดสินใจถูกแล้ว มั่นใจว่าครั้งนี้อะไรก็จะดีขึ้นภายใน 3 เดือน ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลง”

อิ๊งค์ 1/1 เจอศึกใน ศึกนอก

แม้ว่าแพทองธารจะจัดโผ ครม.แพทองธาร 1/1 กระชับอำนาจครั้งใหม่ โดยไม่มีพรรคภูมิใจไทย แต่ยังต้องเจอทั้งโจทย์ใหญ่รอบตัวทั้งศึกในประเทศ และศึกต่างประเทศ ทั้งนี้ ศึกในประเทศ ที่เป็นศึกใหญ่ที่สุด คือ การต่อสู้คดีในศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ รวม 4 คดี

คดีแรก ที่สมาชิกวุฒิสภา 36 คน ยื่นวินิจฉัยถอดถอน “แพทองธาร” ออกจากนายกฯ โดยขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ กรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างแพทองธารกับสมเด็จฮุน เซน

และขอให้ศาลวินิจฉัย ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ รวมถึงขอศาลรัฐธรรมนูญโปรดมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้อง (แพทองธาร) หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

คดีที่สอง เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ตรวจสอบนายกรัฐมนตรีว่ามีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และเข้าข่ายเป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามความในรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (4) หรือไม่

คดีที่สาม สมชาย แสวงการ อดีตวุฒิสมาชิก นิติธร ล้ำเหลือ และ คมสัน โพธิ์คง นักวิชาการ เข้าแจ้งความที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อแจ้งจับ นายกรัฐมนตรี กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด 3 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร มาตรา 119 ถึง 128

คดีที่สี่ สว. รวมถึง ศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ไต่สวนและมีความเห็นกล่าวหา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ อันเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119 มาตรา 120 ประกอบมาตรา 128 อันเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักรโดยชัดแจ้ง ซึ่ง ป.ป.ช.รับสอบในเบื้องต้น มีการให้ถอดเทปการสนทนาในกรณีนี้แล้ว

ศึกนอกรุมเร้า

แน่นอนว่าศึกนอกที่รัฐบาลแพทองธาร ต้องแอ็กชั่นเต็มที่ต่อจากนี้เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา คือ กรณีพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา

ไม่แปลกที่ภายหลังการประชุม ติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ จะมีมาตรการทั้งสกัดนักเล่นการพนัน คุมเส้นทางการบิน ตัดอินเทอร์เน็ตเคเบิลใต้น้ำ คว่ำบาตรการฟอกเงิน และระงับการส่งออกน้ำมัน

ขณะที่โจทย์ใหญ่ในสมรภูมิโลกแต่สะเทือนถึงไทย คือ กรณีที่สหรัฐอเมริกา โจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน จนสภาอิหร่านตอบโต้ด้วยการที่สภาอิหร่านอนุมัติปิดช่องแคบฮอร์มุซ อันเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อาจส่งผลสะเทือนต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้น ย่อมซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ฟื้น

ยังมีการเจรจาภาษีทรัมป์ ที่มีเส้นตาย 8 กรกฎาคม 2568 ซึ่งไทยยังมีความเสี่ยงที่จะถูกเก็บภาษี 36% เพราะการเจรจายังไม่คืบหน้า ซ้ำเติมเศรษฐกิจในประเทศที่ต้องแบกรับ

แม้ว่ารัฐบาลแพทองธาร 1/1 ยังลากยาวไปต่อได้