‘จ่านิว’ หย่อนจม. กลางลานโพธิ์ เบรก ส.ว. เลือกนายกฯ ปลุกคนไทยร่วมปิดสวิตช์ ตั้งเป้าหมื่นฉบับส่งถึงมือ 23 พ.ค.

‘จ่านิว’ หย่อนจม. กลางลานโพธิ์ เบรก ส.ว. เลือกนายกฯ ปลุกคนไทยร่วมปิดสวิตช์ ตั้งเป้าหมื่นฉบับส่งถึงมือ 23 พ.ค.

เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม เวลาประมาณ 15.30 น. ที่ลานโพธิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กลุ่ม ‘สตาร์ท อัพ พีเพิล’ นำโดยนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว และนายธนวัฒน์ วงค์ไชย หรือ บอล แถลงข่าวเปิดตัวแคมเปญ ‘ปิดสวิตซ์ ส.ว.ไม่โหวตนายก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศโดยทั่วไปมีผู้เดินทางมานั่งรอบบริเวณโดยรอบตั้งแต่ก่อนเวลาเริ่มงาน จับกลุ่มพูดคุยประเด็นการเมืองอย่างเข้มข้น อีกทั้งมีผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองหลายรายเข้าร่วม อาทิ ลูกเกด ชลธิชา แจ้งเร็ว และ กลุ่มของนายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ หรือ ‘ฟอร์ด เส้นทางสีแดง’

นายสิรวิชญ์ หรือ จ่านิว กล่าวว่า ตนรับไม่ได้ที่ส.ว. จะมาเลือกนายกรัฐมนตรี และรับไม่ได้ตั้งแต่กระบวนการสรรหาส.ว.แล้ว เพราะเป็นกลไกที่ถอยหลังเจ้าคลองนับแต่ประเทศไทยปฏิรูปการเมือง ย้อนไปในรัฐธรรมนูญ 2540 ได้กำหนดให้ ส.ว. มาจากการเลือกตั้ง กระทั่งต่อมามึการรัฐประหาร และสุดท้ายวันนี้ ส.ว.ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง กลุ่มสตาร์ท อัพ พีเพิล จึงจัดแคมเปญนี้ขึ้น เพื่อเชิญชวนคนไทยเขียนจดหมายถึง ส.ว. เพื่อกระตุกความคิดของ ส.ว. ว่า อย่าเลือกนายกฯ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของท่าน หากแต่เป็นหน้าที่ของ ส.ส. ที่มาจากเสียงของประชาชนผ่านการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าเดินทางไปรับจดหมายจากทั่วประเทศ ตั้งเป้าขั้นต่ำ 10,000 ฉบับ รับถึงวันที่ 20 พฤษภาคมนี้ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งหย่อนในกล่องที่ทางกลุ่มจะเดินทางไปยังภูมิภาคต่างๆ และการลงชื่อผ่านเวปไซต์ change.org นอกจากนี้จะมีการแจ้งเลขตู้ไปรษณีย์เพื่อให้ประชาชนร่วมส่งจดหมายอีกครั้ง ขอให้ผู้สนใจติดตามข่าวต่อไป

“ขอให้คนไทยราวมกันส่งจดหมายมาภายในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้ โดยพวกเราจะนำจดหมายทั้งหมดไปยื่นให้กับมือของ ส.ว. ในวันที่จะมีการโหวตนายกฯ ซึ่งคาดว่าจะเป็นวันที่ 23 พฤษภาคม เพื่อหยุดยั้งกระบวนการสืบทอดอำนาจของคสช. เพราะเมื่อประชาชนลงคะแนนเสียงเลือกตั้งแล้ว ส.ส. ค่องเป็นผู้โหวตเลือกนายกฯ ไม่ใช่ส.ว. ที่มีแต่พวกพ้อง” นายสิรวิชญ์กล่าว

จากนั้น นายธนวัฒน์ หรือ บอล อ่านแถลงการณ์ มีข้อความดังนี้

‘ตามที่ได้มีการกำหนดคำถามพ่วงประกอบการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเปิดช่องทางให้สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดให้มาจากการแต่งตั้งทั้งหมด และไม่ได้ยึดโยงกับเสียงของประชาชน มีสิทธิร่วมประชุมรัฐสภากับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี เป็นระยะเวลา 5 ปี นับแต่รัฐธรรมนูญประกาศใช้นั้น

และปรากฏว่า ส.ว.ที่มาจากการสรรหาโดย คสช.นั้น เข้าข่าย “ส.ว.พวกพ้อง” ที่เต็มไปด้วยญาติสนิทมิตรสหายของ คสช.ซึ่งมีส่วนได้เสียโดยตรงกับ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะ คสช. ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ

เข้าทำนองว่า “ประยุทธ์เลือกประวิตร แล้วประวิตรก็ไปเลือกน้องของประวิตร น้องของประยุทธ์ เพื่อนสนิทมิตรสหายของประวิตรและประยุทธ์ เพื่อกลับมาเลือกประยุทธ์ แล้วประยุทธ์ก็จะได้เลือกประวิทย์อีกที” ฟังแค่นี้ก็สัมผัสได้ถึงความเป็น “ส.ว.พวกพ้อง” ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และไม่เห็นหัวประชาชนมากแค่ไหน

อีกทั้งการที่ คสช.แต่งตั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานคณะกรรมการสรรหา ส.ว. ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ไม่ได้มีความเป็นกลางทางการเมือง แต่มีความสนิมสนมและใกล้ชิดกับ คสช.และพรรคพลังประชารัฐอย่างเห็นได้ชัดเจน การแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหา ส.ว.จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 269(1) อย่างชัดแจ้ง และ ส.ว.ที่เกิดจากการคณะกรรมการสรรหา ส.ว.ที่ขัดรัฐธรรมนูญดังกล่าวก็สุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโมฆะ

นอกจากนี้ ส.ว.ทั้ง 250 คน ยังทีที่มาซึ่งไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน และไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง อีกทั้งยังมีทีท่าเป็นปฏิปักษ์ต่อพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยที่ได้เสียงมากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎรอย่างชัดแจ้ง

ดังนั้น เราจึงขอเรียกร้องเพื่อกระตุกมโนสำนึกของเหล่าว่าที่ ส.ว.ให้งดออกเสียงในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แล้วปล่อยให้การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นหน้าที่ของ ส.ส.ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน

เราจึงขอเชิญชวนประชาชนทั่วไป ร่วมเขียนและส่งจดหมายมายังกลุ่ม Startup People เพื่อรวบรวมทุกรายชื่อยื่นต่อ ส.ว.ในวันที่มีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีต่อไป

กลุ่ม Startup people
12 พฤษภาคม 2562’

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจบแถลงการณ์ นายสิรวิชญ์ หรือจ่านิว ได้หย่อนจดหมายฉบับแรกจากกลุ่มสตาร์ท อัพ พีเพิล ในตู้ไปรณณีย์สึแดงทำจากลังกระดาษ มีข้อความเขียนว่า ตู้ปณ. 250 ส.ว. สำหรับส่งจดหมายถึง ส.สว. และร่วมสมทบทุน จากนั้น มีการแจกกระดาษ พร้อมซองจดหมายให้ประชาชนที่เข้าร่วมและสัญจรผ่านไปมาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก

 

 

 

ที่มา มติชนออนไลน์