“บิ๊กป้อก” เปิดหมดเปลือก ต่อขยายสัมปทานสายสีเขียวบีทีเอส 30 ปี โล๊ะหนี้แสนล้าน

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวชี้แจงกรณีนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย เรื่องการต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเดิมจะสิ้นสุดปี 2572 แต่กทม.ได้มีการต่อสัญญาในส่วนต่อขยายที่ 1 เพื่อจ้างบีทีเอสเดินรถ และรฟม.ได้ทำส่วนต่อขยายในช่วงสีเขียวและสีเขียวใต้ ที่ผ่านมารฟม.ก่อสร้างโดยใช้เงินกู้เพื่อสร้างทั้งสองส่วน แต่ในการจะดำเนินการในอนาคตจำเป็นต้องจ้างเดินรถและมีแนวโน้มว่าจะขาดทุน เพราะเป็นส่วนต่อขยายในช่วงชานเมือง จนไม่สามารถคืนเงินต้นและดอกเบี้ยได้

รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ทั้งโครงการนี้มีหนี้แสนกว่าล้านบาท (113,428 ล้านบาท หนี้ที่ต้องชำระปี 2572 จำนวน 55,472 ล้านบาท หนี้ที่ต้องชำระปี 2562-2572 จำนวน 57,956 ล้านบาท ) การบริการสาธารณะของกทม.ไม่มีสภาพคล่องจะแก้ไขปัญหานี้ได้ ในการแก้ไขปัญหาก่อนจะมีคำสั่งของคสช.นั้นมีผลกระทบที่ตามมา คือ ประชาชนต้องแบกภาระค่าโดยสารเต็มระยะสูงสุด 158 บาท หากรอให้สัมปทานหลักหมดอายุลง เอกชนรายใหม่จะมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นจากสัมปทานเดิมและสัญญาจ้างเดินรถ หรือหากจะเปิดประมูลเอกชนรายใหม่จะต้องใช้เวลา 2-3 ปีเพื่อพิจารณาตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน และประชาชนต้องแบกรับภาระ จึงเป็นที่มาของการมีคำสั่งคสช. ซึ่งยืนยันว่าคำสั่งคสช.ไม่ได้เป็นการต่อสัญญาสัมปทาน แต่เป็นการไปหาทางออกว่าจะทำอย่างไรเพื่อลดภาระของประชาชน โดยจะมีขั้นตอนคล้ายกับพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ที่มีคณะกรรมการที่มีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานเข้ามามาดำเนินการ เพื่อให้การดำเนินการรวดเร็วเพราะเวลาที่เดินไปนั้นหมายถึงดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายออกไปด้วย

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า การเจรจานั้นได้ยึดหลักประชาชนได้ค่าโดยสารเป็นธรรม กทม.และรัฐบาลต้องไม่มีภาระหนี้และผลตอบแทนการลงทุนของเอกชนอยู่ในอัตราที่เหมาะสม ทั้งนี้สัญญาสัมปทาน 30ปี จากสัญญาเดิมที่เหลืออีก 10 ปีนั้นในปี 2562-2572 ในช่วง10ปีแรกยังคงเป็นสัญญาเดิม กทม.ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ โดยเอกชนจะเป็นผู้รับภารแทนตลอด 10 ปี ปี 2573-2602 เริ่มสัญญาสัมปทานใหม่ หลังจากสัมปทานเดิมสิ้นสุดลง สัมปทานใหม่อายุ 30 ปี โดยจะมีการแบ่งรายได้ให้กทม. ทั้งหมดนี้เป็นการแก้ไขปัญหาโดยคำสั่งของคสช. ซึ่งไมได้เป็นการเอื้อประโยชน์แก่ใครทั้งสิ้น