ประชาธิปัตย์ ซัดกันเละ ส.ส.จี้ตัดเกรดรัฐมนตรี พูดตรง “ปัญญาอ่อน น้ำเน่า นินทา”

ประชาธิปัตย์ ซัดกันเละ ส.ส.จี้ตัดเกรดรัฐมนตรี พูดตรง “ปัญญาอ่อน น้ำเน่า นินทา”

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2563 เวลา 09.30 น. ณ ห้องคอนเวนชั่น โรงแรมรามาการ์เด้นส์ วิภาวิดีรังสิต เขตหลักสี่ กรุงเทพ พรรคประชาธิปัตย์ ประชุมใหญ่สามัญพรรคประชาธิปัตย์ ประจำปี 2563 มีผู้ร่วมการประชุมอย่างคึกคัก อาทิ ส.ส. อดีตส.ส. กรรมการบบริหารพรรค (กก.บห.) รัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรี และสมาชิกพรรค อาทิ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคและรมว.เกษตร ฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคม ฯ  นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา อดีตนายกรัฐมนตรี และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ประชุมรายงานผลการดำเนินงานของพรรคในรอบปีปฏิทินที่ผ่านมา และรับรองรับรองงบการเงินประจำปี 2562 แล้ว นายชนะ รุ่งแสง นักการเมืองอาวุโสของพรรคได้ลุกขึ้นถามนายจุรินทร์ถึงการนำพรรคให้กลับมายิ่งใหญ่ของพรรค แต่นายเฉลิมชัยได้ตัดบทขอให้ดำเนินการไปตามวาระก่อน แต่นายชนะได้กล่าวว่าเป็นการถามถึงเรื่องการบริหารจัดการพรรค ซึ่งเกี่ยวข้องกับวาระผลการดำเนินงานของพรรคที่ผ่านมา

“สาทิตย์” ชงประเมิน รมต.-ส.ส.-กก.บห.พรรค

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง กล่าวว่า สิ่งที่อยากเติมเต็มข้อเสนอเพื่อบรรจุไว้ในแผนยุทธศาสตร์ของพรรค 1 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะการนำความเห็นของ ส.ส.ในงานสัมมนาที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อสะท้อนของ ส.ส. ในการสัมมนาในครั้งนั้น คือ เรื่องการประเมินรัฐมนตรี และ การทำหน้าที่ของ ส.ส.ถูกต้องและควรที่จะทำให้เป็นรูปธรรม เพื่อตอบกับประชาชนที่สนับสนุนพรรค และผลการประเมินควรเปิดเผยให้กับประชาชนและสมาชิก รวมถึงการประเมินการทำงานในส่วนของ กก.บห.พรรคด้วย

“พวกเราที่มาอยู่ร่วมกันในพรรคประชาธิปัตย์และทำงานร่วมกันจนกระทั่งถึงวันนี้ เรามีความเลื่อมใส ศรัทธา มีความรักพรรค ไม่ว่าใครที่ลุกขึ้นแสดงความคิด ความเห็นเห็นที่ผ่านมา ผมไม่ได้คิดเลยว่า เขาเหล่านั้นเอาใจออกห่าง หรือ คิดจะทำลายพรรค แต่ทุกความคิดของทุกคนนั้น ล้วนแล้วต้องการทำให้พรรคเติมเต็มความคิดที่แตกต่างเพื่อให้พรรคเติบโตในอนาคต” นายสาทิตย์กล่าว

“โดยเฉพาะการประเมินความนิยมของพรรคทั่วประเทศ เพื่อประเมินจุดอ่อน จุดแข็งของพรรค การเมืองข้างนอกกำลังเปลี่ยนแปลง ในพรรคต้องมีการปรับเปลี่ยนแนวคิด การกระทำ เพื่อให้พรรคเดินต่อไปได้ ท่ามกลางกระแสการเมืองที่เชี่ยวกราก และเพื่อกลับมาเป็นพรรคหลักต่อไปในอนาคต”

อันวาร์: ไม่ควรเปลี่ยนโลโก้ แต่ควรเปลี่ยนคน-ความคิด

นายอันวาร์ สาและ ส.ส.ปัตตานีและรองเลขาธิการพรรค ลุกขึ้นกล่าวถึงการเปลี่ยนโลโก้ของพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ไม่ควรจะเปลี่ยนโลโก้ แต่ควรจะเปลี่ยนคน เปลี่ยนความคิด

“การเลือกตั้งที่ผ่านมาสาหัสสากรรมาก ตัวเลข ส.ส.ที่ได้รับ มีคนบอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ดีแต่พูด เอาดีใส่ตัว เอาช่วยใส่คนอื่น คบยาก ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน มีแต่คนไหลออก ดังนั้นวันนี้ต้องชี้แจงสังคมให้ชัดเจน แสดงจุดยืนให้ชัดต่อสังคม”

“ผมต้องการคำตอบ ไม่ใช่คำสั่ง หรือ หรือคำขอร้องห้ามไม่ให้ผมพูดอะไร ทั้งที่ผมมีความเจตนาดีต่อพรรค แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา กลัวอะไรกับผม รู้ไหมว่าพรรคตกต่ำ”

นายอันวาร์กล่าวว่า มีเพื่อนสมาชิกพรรคคนหนึ่งถามผม ที่มีข่าวลือว่า ทั้งหมดที่ผมพูดว่าพรรคตกต่ำ เพราะอยากเป็นรัฐมนตรีใช่หรือไม่ คุณลูกหมี (จุมพล ชุมใส) ถามผมว่า อยากเป็นรัฐมนตรีหรือเปล่า เรื่องนี้ลือกันมานาน ผมทราบดี ผมไม่สนใจหรอกครับ เพราะผมคิดว่า คนปัญญาอ่อนเอาเรื่องน้ำเน่าอย่างนี้มาให้ร้ายผม ไม่มีเนื้อหาอะไรที่ชี้ว่า จะขึ้นเป็นรัฐมนตรี หรือ แย่งตำแหน่งของใครในครม. ไม่มี วาระเดียว คือ ทำอย่างไรให้พรรคเข้มแข็ง ไม่ให้พรรคตกต่ำ เลือดไม่ไหล

“ผมขอประกาศในที่ประชุมว่า ผมไม่ขอรับตำแหน่งใด ๆ ทั้งสิ้นในครม. ไม่ต้องกังวลว่า ผมจะแย่งของใคร ผมไม่เก่งที่จะนินทาคนลับหลัง”

ดาหน้าถล่มนายอันวาร์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนายอันวาร์พูดจบ บรรดา ส.ส.ได้ลุกขึ้นใช้สิทธิ์พาดพิงและไม่เห็นด้วยกับการพูดของนายอันวาร์ดาหน้าถล่มนายอันวาร์ อาทิ นายเฉลิมชัย นายอิสระ สมชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรมว.เกษตร ฯ (นายเฉลิมชัย) นายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา รมช.คมนาคม

จากนั้นนายเฉลิมชัย ชี้แจงว่า ตนได้ฟังนายอันวาร์ตลอด จริงๆแล้วนายอันวาร์เป็นน้องรัก ตนเสนอให้เป็นรองเลขาธิการพรรคเพราะคิดว่ามีแนวคิดที่มีหัวสมัยใหม่ ที่อยากให้ช่วยกรรมบริหารพรรคในการพาพรรคเดินไปข้างหน้าได้ ตนนั่งอยู่ข้างหน้าเห็นสีหน้านายอันวาร์แล้วรู้ว่ากังวลจริงๆ เรื่องแรกเพื่อไม่ให้กังวลแล้วกลับไปนอนไม่หลับเรื่องทีนายอันวาร์บอกว่าประชาธิปัตย์กลัวท่านจะได้เป็นรัฐมนตรี

ขอเรียนว่าไม่มีใครกลัวเพราะตนมีหน้าที่ดูแลสมาชิกทั้งหมดแค่นั้น ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ตนเป็นคนที่คุยกับ ส.ส. ถ้ามีโอกาสพยามคุยมากที่สุดรดและรับรู้ว่าไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าความไม่สมบูรณ์แบบนั้นเราก็รับมาแก้ไขและปรับปรุง นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องและทำให้องค์กรเดินไปข้างหน้าได้ ยืนยันว่ากรรมการบริหารพรรคพร้อมที่จะรับฟังและเปิดโอกาสให้สมาชิกได้เสนอความคิดเห็นเสนอแนวทาง คำแนะนำต่างๆและพร้อมที่จะนำไปปฏิบัติแก้ไขในสิ่งที่เราคิดว่าจะทำให้ดีขึ้น

“ขอเพียงว่าอย่าพูดอย่างเดียวพอพูดซ้ำเรื่องอย่างกรณีที่ว่าพรรคดีแต่พูด กรณีที่ยกตัวอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอดีตหัวหน้าพรรค และการตัดสินใจของครั้งก่อนี่จะร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชุมร่วมกรรมการบริหาพรรคและ ส.ส. ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงต้องทำให้ประชาชนรู้ เราอย่าสร้างความสับสนเสียเอง วันที่นายอภิสิทธิ์ เป็นหัวหน้าพรรคเมื่อท่านประกาศนโยบายทุกคนเดินตามเพราะเราเป็นพรรคที่มีแนวทางการทำงานที่ชัดเจนไม่มีใครที่จะปฏิเสธแนวคิดตรงนั้น ถามว่าพ่ายแพ้ได้หรือไม่ก็พ่ายแพ้ได้ แต่ก็ควรยอมรับไม่มีคำต่อว่ากัน เพราะประชาธิปัตย์ต้องเดินต่อไปข้างหน้า เราไม่ใช่มาด่ากันเองแล้วตีกันกันเอง โดยไม่ทำอะไรอันนี้เขาเรียกว่าดีแต่พูด” นายเฉลิมชัย กล่าว

นายเฉลิมชัย กล่าวต่อว่า ตอนที่เลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ แล้วนายจุรินทร์เป็นหัวหน้าพรรค และมีการประชุมร่วมกับ ส.ส.ซึ่งมีมติให้เข้าร่วมรัฐบาล ซึ่เป็นไปตามข้อบังคับพรรคทุกประการ เรามีหลักการมีขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้นจนสุดท้ายถึงการตัดสินใจ เพราะบ้านมีกฎบ้าน เมืองมีกฎเมือง พรรคก็มีระเบียบของพรรค ถ้าไม่พูดตนคิดว่าพรรคจะเสียหาย ส่วนการเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นก็เหมือนกัน ตนไม่อยากโต้เถียง แต่ทุกข้อแนะนำข้อเสนอแนะตนจะรับและนำไปสู่การปฎิบัติ

“สิ่งหนึ่งที่พูดในเรื่องการเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นถ้าไม่ให้คนอื่นพูดต้องหยุด และเราต้องไม่ทำตัวเราเองอย่างนั้น ที่ผมพูดผมไม่ได้มีอารมณ์ ไม่ได้มีอคติเพราะถ้าทุกคนรู้จะรู้ว่าผมจะคุยกับทุกคนด้วยความเป็นพี่เป็นน้องด้วยความเป็นหนึ่งเดียวกันและรับความรู้สึกของทุกคนมาตลอดว่าไม่ใช่เพราะสมาชิกพรรคทุกคนมีส่วนกำหนดประชาธิปัตย์ทั้งหมด เพราะพรรคไม่มีเจ้าของที่แท้จรงนี้คือจุดแข็งของพรรค เพราะแท้จริงท่านก็เหมือนตัวแทนของประชาชนที่ทำหน้าที่ในสภาฯได้มากบ้างน้อยบ้างว่าตามสถานการณ์ในตอนนั้น แต่เรามีหน้าที่พาพรรคเดินต่อไปข้างหน้า พร้อมที่จะะแก้ไขปัญหานำพาพรรคไปสู่จุดที่ดีที่สุด ท่านไปถามข้างนอกก็จะรู้ว่าครบเฉลิมชัยได้หรือไม่ ถ้าเราไม่ดีอย่างนั้นจะมีใครมาคบผม เพราะฉะนั้นวันนี้อยากให้ทุกคนเดินไปพร้อมพร้อมกันด้วยความรู้สึกของคนที่เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งหมดในครอบครัวมีสามีภรรยา ก็ทะเลาะ แต่ประชาธิปัตย์เสรียิ่งกว่านั้น

ส่วนการจะโยงไปถึงคำพูดว่าพรรคตกต่ำผมก็รับฟังแต่ต้องเปิดใจให้กว้าง โดยเฉพาะตัวเราแล้วค่อยเปิดใจคนอื่น ผมต้องการที่จะพูดเพื่อรักษาพรรคไม่ใช่การโต้เถียงหรือโต้แย้ง ทุกคนรู้หมด แต่สมมุตินี่คือเรื่องสมมติถ้าคิดว่าพรรคตกต่ำก็มาช่วยกัน แล้วตกต่ำขนาดนั้นเลยหรือผมคิดว่าไม่ถึงขนาดนั้น แต่การตอกย้ำยิ่งทำให้พรรคตกต่ำไปกว่านี้อีก ดังนั้นทุกตนต้องช่วยกันผมอยู่ตรงนี้มีหน้าที่เป็นคนคนหนึ่งเข้ามาช่วยบริหารในการนำพาพรรคไปสู่ที่จุดที่ดีที่สุดแต่จุดไหนผมตอบไม่ได้เพราะผมต้องให้ทุกคนมีโอกาสมาร่วมเดินไปกับผม วันนี้ผมคิดว่าพรรคเราก็ยังคงมีอุดมการณ์ทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีใครสั่งในสิ่งที่ไม่ถูกต้องไ้ด้ ผมตอบสั้นๆว่าเรื่องสภาฯไม่มีใครสั่ง และไม่มีใครสั่งประชาธิปัตย์ได้ ขอยืนยันไม่มีใครสั่งสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้”นายเฉลิมชัย กล่าว

นายเฉลิมชัย กล่าวต่อว่า ข้อเสนอแนะตนขอรับไปส่วนไหนที่ปฏิบัติเป็นรูปธรรมได้ก็ดำเนินการทันที เช่นกรณีการทำโพลขอให้รอตนดำเนินการอยู่แล้ว และไม่ได้ทำคนเดียว โดยดึงพวกเรามามีส่วนร่วมในการคิดพิจารณากำหนดเป้าหมาย ตนไม่ทำคนเดียวไมได้เด็ดขาดเพราะแบกไม่ไหวต้องให้ทุกคนช่วยกัน ตนต้องมีเพื่อนร่วมทาง หากตนโดดเดี๋ยววันไหน ตนก็คงจบทางการเมือง แต่วันนี้ตนยืนอยู่ตรงนี้ตนก็อยากให้ทุกคนมาร่วมเดินไปพร้อมกับตน ตนสู้เต็มที่และรักษาประชาธิปัตย์เต็มที่

หัวหน้าพรรคเปิดใจ

ก่อนหน้านี้นายจุรินทร์เปิดใจ ว่า พรรคประชาธิปัตย์ผ่านการเลือกเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ผลการเลือกตั้งปรากฏว่าเราได้ส.ส. 52 คน ถือเป็นพรรคอันดับ 5 ในสภาผู้แทนราษฎร แต่การตัดสินใจทางการเมืองย่อมมีข้อจำกัดจากเดิมจากก่อนเลือกตั้งมีส.ส. 159-160 คน

การตัดสินใจทางการเมืองในสถานการณ์ใหม่หลังการเลือกตั้ง หากเราประสงค์เป็นรัฐบาล เป็นแกนนำ เป็นไปได้ยากมาก เพราะมีเสียงส.ส.ไม่มากพอ แต่ถ้าเราประสงค์จะไปเป็นฝ่ายค้านก็มีข้อจำกัดบางประการ

เราไม่สามารถอยู่ในสถานะผู้นำฝ่ายค้านได้ เพราะผู้นำฝ่ายค้านต้องเป็นพรรคการเมืองที่มีเสียง ส.ส.มากที่สุดในฝ่ายค้าน จึงเป็นเหตุผลการตัดสินใจในขณะนั้น

ผมยังมั่นใจว่าพรรคประชาธิปัตย์จะโตต่อไปในวันข้างหน้า แต่ปัจจัยที่จะนำไปสูความสำเร็จ นอกเหนืออุดมการณ์ ต้องประกอบด้วย อย่างน้อยที่สุด 2 ข้อ ข้อที่ 1 ผลงาน ข้อที่ 2 ความเป็นเอกภาพ

“พรรคประชาธิปัตย์มีอุดมการณ์อยู่หรือไม่ ขอตอบว่า มี เพราะอุดมการณ์ คือ รากแก้วของพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าไม่มีอุดมการณ์ก็เปรียบเสมือนต้นไม้ที่ไร้ราก”

อุดดมการณ์และตัวตนของพรรคประชาธิปัตย์ อย่างน้อย 3 ข้อ 1.อุดมการณ์ประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์มทรงเป็นประมุข 2.ความซื้อสัตย์ สุจริต และ 3.การมุ่งมั่นรับใช้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนคนไทยทุกคนเป็นที่ตั้ง

“วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ยังมีอุดมการณ์อยู่หรือไม่ ตอบว่า มี แต่นอกเหนือจากอุดมการณ์แล้ว โลกเปลี่ยน ต้องบวกด้วยความทันสมัย อุดมการณ์ไม่เคยเปลี่ยน แต่เป็นอุดมการณ์ที่ทันสมัย แต่ไม่สักแต่ว่าเปลี่ยน ต้องเปลี่ยนอย่างมีวุฒิภาวะ”

ผลงาน คือ ผลงานที่เป็นรูปธรรม เกิดจากการกระทำจริง ไม่ใช่เพียงคำพูด และเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่ต้องช่วยกัน เพราะผลงานใครคนใดคนหนึ่งทำไม่ได้

3 กลไกของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะขับเคลื่อนผลงาน 1.รัฐมนตรีและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของพรรค 2.กลไกรัฐสภา คือ ส.ส.เขตและส.ส.บัญชีรายชื่อ และ 3.การบริหารจัดการพรรค ในส่วนรัฐมนตรี และผู้ดำรงดำรงตำแหน่งทางการเมือง

“เราเพิ่งเข้าร่วมรัฐบาลครบขวบปี แต่ผลงานการทำหน้าที่ของรัฐมนตรีหน้าที่หลายกระทรวง เราได้ทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ แน่นอนไม่มีใครสมบูรณ์แบบ อาจจะบกพร่องบ้าง แต่ผลงานรูปธรรมที่ปรากฏไม่น้อยทีเดียว”

เงื่อนไขการร่วมรัฐบาล 3 ข้อ 1.นโยบายประกันรายได้ต้องบรรจุไว้เป็นนโยบายของรัฐบาล 2.การแก้ไขรัฐธรรมนูญ วันนี้รัฐบาลสนับสนุนให้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญแก้ไขรัฐมนตรี และ 3.การบริหารงานด้วยความสุจริต

สิ่งที่เราต้องเดินไปข้างหน้าต่อไป ไม่ใช่เท่านี้ เรารับผิดชอบรัฐมนตรีว่าการ 3 กระทรวง กระทรวงเกษตร ฯ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพัฒนาสังคม ฯ รวมทั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการ 4 กระทรวง”

“ยุทธศาสตร์ที่พรรคประชาธิปัตย์ทำหน้าที่ในคณะรัฐมนตรี เพื่อนำความสำเร็จสู่พรรคและเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนคนไทยทั้งประเทศ รวมทั้งทำหน้าที่พรรคร่วมรัฐบาลที่ดีให้กับรัฐบาลที่เราเข้าไปร่วมกับเขาเพื่อสร้างผลงาน”

ภายใต้ยุทธศาสตร์เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด ผู้ด้วยโอกาสได้รับการดูแล

ส่วน ส.ส. ต้องมีบทบาทที่ทันสมัยมากขึ้น ทั้งในพื้นที่และในรัฐสภา เพราะผลการศึกษาประชาชนเปลี่ยนไป ต้องการให้ส.ส.ใกล้ชิดมากขึ้น และทำอย่างมียุทธศาสตร์ มีความทันสมัยมากขึ้น ส.ส.ต้องเร่งสร้างผลงานเช่นเดียวกับรัฐมนตรี

กลไกพรรค กรรมการบริหารพรรคจากนี้ไป ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น ที่สำคัญ ต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อการมากขึ้น ทุกคนต้องร่วมกันทำงานเป็นทีม เหมือนที่เคยบอกว่า หมดยุคซุปเปอร์แมน ต่อไปนี้เป็นยุคอเวนเจอร์ที่ต้องทำงานเป็นทีม

ถัดจากนี้ไป นอกจากทีมเศรษฐกิจทันสมัย จะมีทีมสังคมทันสมัย เช่น สิทธิมนุษยชน ความแตกต่างทางเพศ สิ่งแวดล้อ และธุรกิจเพื่อสังคมเพื่อสนองต่อสังคมทันสมัย

รวมถึงทีมกทม. เพื่อรองรับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ส.ก.และส.ข. บวกกับทีมโซเชียลมีเดีย เพื่อสื่อสารกับสังคมโลกยุคใหม่ เพื่อเดินหน้าไปสู่ความทันสมัยมากขึ้น

“เราต้องจับมือเดินไปด้วยกันทั้ง 3 กลไก 3 กลไกล จากนี้ไปต้องมีการประเมิน การปฏิบัติภารกิจ ทั้งรัฐมนตรีและ ส.ส. เพื่อจะทำไปสู่ สิ่งที่ดีกว่าในอนาคต”

ถ้าทำหน้าที่ของตัวเองได้ครบถ้วน สมบูรณ์จะถูกนำมา มัดรวมกัน เป็นผลงานของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อถึงวันเลือกตั้ง ให้ไปบอกประชาชนได้ ว่า ทำไมถึงต้องเลือกพรรคประชาธิปัตย์

“ทุกอย่างจะไม่สูญเปล่าแน่นอน แม้เราจะยึดมั่นในอุดมการณ์เช่นไร เราจะทำผลงานและมัดรวมกันให้ประชาชนได้มากแค่ไหน แต่ถ้าขาดความเป็นเอกภาพ ก็ใช่จะนำพรรคไปสู้ความสำเร็จได้ เพราะความไม่เป็นเอกภาพ เป็นตัวบั่นทอนพรรค ความไม่เป็นเอกภาพเป็นตัวบั่นทอนอนาคตของพรรค ความไม่เป็นเอกภาพเป็นตัวบั่นทอนอนาคตของทุกคนในพรรค”

เอกภาพที่พูด ไม่ใช่เอกภาพทางความคิด สังคมประชาธิปไตย ทุกคนมีความเห็น แต่เมื่อเสียงส่วนใหญ่ตัดสินแล้วทุกคนต้องเคารพ ต้องปรึกษาหารือกันภายใน จึงจะเรียกว่ามีความเป็นเอกภาพ ความเป็นเอกภาพทำคนเดียวไม่ได้ ต้องจับมือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเท่านั้น

“ขอให้เติมไปอีกข้อ คือ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สร้างความเป็นเอกภาพให้เกิดขึ้น เพื่อความเติบโตของพรรคต่อไปในอนาคตอย่างเต็มภาคภูมิ ประชาธิปัตย์จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งแน่นอน”