ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ “ประยุทธ์” พฤติกรรมค้าความตาย โอหังคลั่งอํานาจ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
FILE PHOTO : ROYAL THAI GOVERNMENT /

6 พรรคฝ่ายค้าน ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ “ประยุทธ์” – 5 รัฐมนตรี ชี้ นายกฯ มีพฤติกรรม ค้าความตาย – โอหังคลั่งอํานาจ ศักดิ์สยาม ทำตัวเสเพล อนุทิน โม้โอ้อวด มุ่งหาแต่วัคซีนลึกลับ แต่ด้อยคุณภาพ

วันที่ 16 สิงหาคม 2564 เวลา 09.40 น. ที่รัฐสภา นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย หัวหน้าพรรค แกนนำพรรคฝ่ายค้านอีก 6 พรรค ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอีก 5 ราย ต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้มีการประชุม ส.ส. เพื่อพิจารณาญัตติดังกล่าว

นายสมพงษ์กล่าวว่า พรรคฝ่ายค้าน เราได้มีการรวมตัวพิจารณากันและพิจารณาข้อบกพร่องของรัฐบาล ทั้งการบริหารวัคซีนโควิด-19 ปัญหาเศรษฐกิจ เรามีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นตัวบุคคล ขอให้ประธานรัฐสภาบรรจุวาระเป็นเรื่องด่วนต่อไป ทั้งนี้ ในญัตติมีการกำหนดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ประกอบด้วย

1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 2.นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม 3.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข 4.นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 5.นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 6.นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

นายสมพงษ์กล่าวว่า เบื้องต้นเราอยากจะได้เวลาอภิปรายอย่างน้อย 3 วัน ทั้งนี้ ฝ่ายค้านได้พิจารณากันถ่องแท้และปรึกษาหารือกัน มีการเสนอรายชื่อบุคคลมามากมาย แต่ฝ่ายค้านได้หารือกันและจบที่ 6 คน ส่วนที่ไม่มีชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับกระทรวงแรงงานนั้น ในที่ประชุมได้มีการสอบถามว่า แต่เราต้องการเน้นที่เรื่องโควิด-19 เศรษฐกิจ เป็นหลัก เรามองดูรัฐมนตรีที่รับผิดชอบโดยตรง เจ้านายคือตัวนายกฯ รัฐมนตรีที่รับผิดชอบโดยตรง ตัวที่รับผิดชอบจริงคือนายกฯ

“เชื่อว่าสิ่งที่เราได้กำหนดและตั้งใจอภิปรายรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล สิ่งที่เราได้รวบรวมหลักฐานนั้นครบถ้วน ส.ส.ทุกท่านในฝ่ายรัฐบาลก็จะต้องคิดเหมือนกันว่าฝ่ายค้านอภิปรายอย่างไร ความเดือดร้อนประชาชนเป็นอย่างไร ทราบข่าวอยู่ทุกวันว่าการจัดการโควิด-19 ไม่ได้เรื่อง ผู้แทนราษฎรฝ่ายรัฐบาลก็ควรจะต้องพิจารณาเรื่องนี้ วิงวอนผู้แทนฝ่ายรัฐบาลตัดสินใจว่าเที่ยวนี้สุด ๆ แล้ว ไม่มีอะไรสุดไปกว่านี้ ขอให้ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลที่มีความคิดความอ่านที่คิดถึงประชาชนที่เลือกมา การเลือกตั้งครั้งหน้ายังมี” นายสมพงษ์กล่าว

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า กระบวนการก็เหมือนการอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกครั้งที่แต่ละพรรคมีชื่อบุคคลที่ไม่ไว้วางใจเป็นของตนเอง แต่ที่สุดแล้วก็ต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน และโฟกัสที่ 6 คนนี้ พูดคุยกันและรักษาบรรยากาศการทำงานของพรรคร่วมฝ่ายค้าน

“เราตั้งใจอภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงเวลานี้ เพื่อที่ใช้กลไกสภาในการแก้ไขวิกฤต ลดความขัดแย้ง มีความจำเป็นที่ต้องถอดสลักที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อที่ให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ การอภิปรายครั้งที่ 3 แตกต่างจากครั้งก่อน ๆ เพราะครั้งนี้ความเดือดร้อน ความลำบากไปในวงกว้าง ประชาชนมีส่วนร่วมมากพอสมควร ประชาชนส่งข้อมูลให้ผมและพรรคก้าวไกลไม่ขาดสาย” นายพิธากล่าว

นายพิธากล่าวว่า ตอนนี้ความชอบธรรมของ พล.อ.ประยุทธ์นอกสภาแทบไม่เหลือแล้ว จึงต้องใช้กลไกในสภาเพื่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนและอาฟเตอร์ช็อกต่อไป เป็นเหตุที่ว่าทำไมถึงอภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม ส่วนคำว่ารักษาบรรยากาศในพรรคร่วมฝ่ายค้านนั้น ประชาชนต้องมาก่อน แน่นอนในอดีตแต่ละพรรคมีความเห็นของตัวเอง แต่เรามีวุฒิภาวะพอที่จะวางความแตกต่างลง ร่วมมืออย่างเต็มที่ที่สุด

พฤติการณ์ทุจริต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับข้อกล่าวหาของ พล.อ.ประยุทธ์ฝ่ายค้านและรัฐมนตรีอีก 5 นั้น มีใจความว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นบุคคลที่ไร้ภูมิปัญญา ไร้องค์ความรู้ไร้จิตสํานึกรับผิดชอบ ไร้คุณธรรมจริยธรรม และไร้ความสามารถ ที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาล ผู้นําประเทศ ทําให้การบริหารราชการแผ่นดินเกิดความล้มเหลว ผิดพลาด บกพร่องเสียหายอย่างร้ายแรงทุกด้าน

จากการกลายพันธุ์ของโรคติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่ม สายพันธุ์ขึ้นจากเดิม กระทั่งปัจจุบันการแพร่ระบาดดังกล่าวเข้าไปสู่ชุมชนและครัวเรือน ส่งผลให้เพียง ระยะเวลา 4 เดือนเศษ มีผู้ติดเชื้อเกือบเก้าแสนคน และเสียชีวิตกว่าเจ็ดพันคน ในขณะที่จํานวนผู้ติด เชื้อและเสียชีวิตรายวันก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ถึงขนาดที่สถานพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์มีไม่เพียงพอที่จะรับรักษาผู้ป่วย “ระบบสาธารณสุขไทยล้มเหลว” เกินขีดความสามารถในการบริการ ประชาชน ต้องปล่อยให้ผู้ป่วยรักษาตัวเองที่บ้าน บางรายทนไม่ไหวต้องตายกลางถนน ตายในรถ หรือ ตายคาบ้านตนเอง ตายยกครอบครัว สร้างความหดหู่ใจแก่ผู้พบเห็นและพี่น้องประชาชนอย่างยิ่ง

การล็อคดาวน์ การสั่งปิดสถานประกอบการ โดยขาดการศึกษาวิเคราะห์ที่ดีพอ อันนํามาสู่ความเสียหายจนทําให้ภาคธุรกิจต้องเลิก กิจการจํานวนมาก การดํารงชีวิตของประชาชนเป็นไปอย่างยากลําบาก เกิดภาวะตกงานต้องกลับไป ต่อสู้ดิ้นรนยังภูมิลําเนาบ้านเกิด มาตรการที่กําหนดขึ้นทั้งจากการปิดเมือง ปิดโรงงาน กําหนดข้อห้าม ต่าง ๆ ออกข้อกําหนดครั้งแล้วครั้งเล่า กลับไม่สามารถหยุดยั้งหรือลดการแพร่ระบาดของโรคได้จนส่งผล กระทบต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ขณะที่การกู้เงินของรัฐบาล จํานวนมากแต่กลับนํามาใช้จ่ายอย่างไร้ทิศทาง ไม่ลําดับความสําคัญของการใช้เงินงบประมาณที่หมดไป กับการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รู้ดีว่า “ประเทศตกอยู่ในสงครามของ โรคระบาด ไม่ใช่สงครามของการสู้รบ” ใช้จ่ายงบประมาณ และเงินกู้โดยไม่รักษาวินัยการเงินการคลัง

ค้าความตายวัคซีน

การจัดหาวัคซีนที่มีพฤติการณ์ปิดบังอําพราง ไม่โปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ ไม่ทั่วถึง เลือกปฏิบัติ และไม่มีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งแอบอ้างว่ามีวัคซีน ของบริษัทในพระปรมาภิไธยเพื่อมาฉีดให้กับประชาชน เป็นการทําลายความน่าเชื่อถือของสถาบัน มีผลทําให้ยุทธศาสตร์การจัดหาวัคซีนผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งยังปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตและ แสวงหาประโยชน์ของบรรดานักการเมือง พวกพ้อง และข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างกว้างขวางในหลายเรื่อง ทั้งการทุจริตเกี่ยวกับการจัดหาและจองวัคซีนล่วงหน้า

แต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับดําเนินการโดยล่าช้า ขาดความจริงใจ พฤติการณ์ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีลักษณะ “ค้าความตาย” โดยเห็นวัคซีนเป็นสินค้า สาธารณะ เหิมเกริม คิดการใหญ่โตในการสร้างกําไรจากวัคซีนร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยหวังการกอบโกยผลประโยชน์บนซากศพและคราบน้ำตาของพี่น้องประชาชน เพิกเฉยละเลยทําให้ประชาชนสูญเสียโอกาสที่จะได้รับวัคซีนที่หลากหลายและทั่วถึง ภายใต้โครงการ Covax

จนกระทั่งสถาบันวัคซีนแห่งชาติต้องออกมาขอโทษประชาชน เมื่อประชาชน ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ก็ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือข่มขู่เอาผิดกับประชาชนและลิดรอนสิทธิเสรีภาพของ สื่อมวลชนและประชาชน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังลุแก่อํานาจสั่งการให้มีการใช้กําลังปราบปราม ประชาชนที่ออกมาชุมนุมอย่างรุนแรงเกินสมควรกว่าเหตุตลอดมา ตามนิสัยความถนัดของตนเอง

จนกล่าวได้ว่าประเทศกําลังขับเคลื่อนไปด้วยความคับแค้นเกลียดชัง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะ หัวหน้ารัฐบาลยังปล่อยปละละเลยให้รัฐมนตรีหลายคนกระทําการทุจริตต่อหน้าที่และจงใจใช้อํานาจ หน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี และข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี โดยที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ละเว้นไม่ติดตามผลข้อสั่งการว่าได้รับการปฏิบัติหรือไม่

ทำเศรษฐกิจดิ่งเหว

นอกจากนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์ โอชา ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังเห็นชอบและปล่อยปละละเลยให้มีการเสนอและใช้ จ่ายงบประมาณในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ไม่มีสถานการณ์การสู้รบ ใด ๆ การบริหารราชการแผ่นดินและการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

จึงทําให้ประชาชนทุกข์ยากเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เศรษฐกิจของประเทศ ดิ่งเหว ทําให้ประเทศไทยถึงจุดที่เรียกว่าตกต่ำที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์และกลายเป็นประเทศที่ไม่ปลอดภัยในสายตาชาวโลก การพลิกฟื้นและการลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถกระทําได้ การที่ประชาชนต้องติดเชื้อและเสียชีวิตจํานวนมาก และต้องทนทุกข์ทรมานจากพิษภัยของโรคโควิด-19 เช่นนี้

เป็นผลโดยตรงจากความไร้ภูมิปัญญา ไร้ความสามารถ ความไม่ซื่อสัตย์สุจริต ความไม่รอบคอบ ระมัดระวัง ไม่สนใจต่อชีวิตและสุขภาพของประชาชนและประโยชน์ของประเทศชาติ การแสวงหา ประโยชน์บนความเดือดร้อนของประชาชน โดยที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และพวกพ้อง ไม่ยึด ประโยชน์ของประเทศและประชาชนโดยส่วนรวมเป็นที่ตั้ง “ใจดํา”

โอหังคลั่งอำนาจ

ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน ไม่เห็นใจในความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน และจากความโอหังและการเสพติดในอํานาจ ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จนทําให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในสภาพของคนเป็นโรค “โอหังคลั่งอํานาจ” (Hubris Syndrome) ไม่อยู่ในภาวะที่จะเป็นผู้นําประเทศได้อีกต่อไป

ดังนั้น หากปล่อยให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารราชการแผ่นดินต่อไปจะทําให้ ประชาชนติดเชื้อและเสียชีวิตมากยิ่งขึ้นจนไม่สามารถที่จะหาสถานที่ฌาปนกิจได้ทันและเพียงพอ และไม่มีหนทางที่จะหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ ประชาชนจะต้องทนทุกข์ทรมานทั้งจากโรค

และการดํารงชีวิต บ้านเมืองจะไร้ซึ่งความสงบสุขร่มเย็น อันจะนํามาซึ่งความหายนะของประเทศชาติ อย่างแท้จริงตามที่มีการกล่าวกันว่า “ผู้นําโง่ เราจะตายกันหมด” เพราะคนโง่ คือภัยอันตรายร้ายแรง เมื่อได้กลายเป็นผู้มีอํานาจ

อนุทิน มุ่งหาวัคซีนลึกลับ-สายสัมพันธ์

ขณะที่ข้อกล่าวหา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อาทิ ขาดซึ่งองค์ความรู้ไร้ซึ่งภูมิปัญญาและความสามารถในการกํากับดูแลงานด้านสาธารณสุขของประเทศ มีพฤติกรรมคุยโม้โอ้อวด ทุจริตต่อหน้าที่

ประเมินความรุนแรงและผลกระทบของโรคนี้ผิดพลาดอย่างร้ายแรงโดยเห็นว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา เป็นและหายได้เอง ประเมินว่าเป็นโรคกระจอก จึงปล่อยปละละเลยในการเตรียมความพร้อมด้าน สาธารณสุขและมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโดยเฉพาะวัคซีน

การจัดหาวัคซีนเป็นไปอย่างล่าช้า และได้วัคซีนที่ไม่มี ประสิทธิภาพเพียงพอในการป้องกันโรค มุ่งเน้นแต่จะจัดหาวัคซีนลึกลับแต่ด้อยคุณภาพ วัคซีนสายสัมพันธ์ ขณะที่การตรวจหาผู้ติดเชื้อรายใหม่ก็เป็นไปอย่างล่าช้าไม่ทันต่อการระบาดของโรค และยังมีพฤติการณ์ในการแสวงหาประโยชน์ในการจัดหาวัคซีน การกระจายวัคซีนและการจัดซื้ออุปกรณ์ตรวจโรค พูดเท็จโอ้อวดต่อประชาชนว่าเราจะมีวัคซีนเต็มสองแขนเหลือเฟือ การจัดหาวัคซีนโดยรวมมี ความผิดพลาดบกพร่องในทางยุทธศาสตร์อย่างร้ายแรง

สุชาติ ให้แรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นบุคคลที่ไร้ภูมิปัญญา และไร้ ความรู้ความสามารถที่จะบริหารราชการของกระทรวงแรงงาน ทําให้ผู้ใช้แรงงานได้รับผลกระทบทั้ง ระบบ จงใจใช้อํานาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย กระทําการอันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ส่อว่าจงใจและมีผลประโยชน์ทับซ้อน ปล่อยปละละเลยให้แรงงานต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายปะปนอยู่ในระบบแรงงาน และเกิดการแสวงหาประโยชน์จากแรงงาน  ผู้ใช้แรงงานต้องตกงานจํานวนมากและใช้ชีวิตตามยถากรรม นักศึกษาจบใหม่ก็ไม่มีงานทําซึ่งเป็นอัตรา

การว่างงานที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ภาคการผลิตได้รับผลกระทบอย่างหนักจนส่งผลกระทบต่อ เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างรุนแรง และยังบกพร่องผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่ปล่อยปละละเลยให้ เกิดคลัสเตอร์การติดเชื้อใหม่ในโรงงานรายวันโดยไม่มีมาตรการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ

เสี่ยโอ๋ มุ่งกอบโกยผลประโยชน์-เสเพล

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ จงใจใช้อํานาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม อย่างร้ายแรง มุ่งแต่แสวงหาและกอบโกยผลประโยชน์จากโครงการขนาดใหญ่ของหน่วยงานที่อยู่ใน กํากับดูแล

ประพฤติตัวเสเพลไม่เหมาะสมกับตําแหน่ง ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมโรคเข้าไปในแหล่งอบายมุขจนเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไปทั่วประเทศจนถึงปัจจุบัน ขาดจิตสํานึกรับผิดชอบ มุ่งแต่แสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองโดยอาศัยตําแหน่งหน้าที่ของตน

เฉลิมชัย เรียกรับผลประโยชน์

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นบุคคลที่ไร้ภูมิ ปัญญาและไร้ความสามารถในการบริหารงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทําให้การบริหารงาน ด้านการเกษตรล้มเหลวทั้งระบบ มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่  เข้าไปมีส่วนได้เสียในการเรียกรับผลประโยชน์จากโครงการของหน่วยงานที่ตนกํากับดูแล สร้างความ เสียหายแก่รัฐจํานวนมาก

ไม่ปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ปกป้องรักษาสาธารณ สมบัติของแผ่นดิน จงใจเบียดบังเอาทรัพยากรของชาติไปให้พวกพ้องตนเอง ปล่อยปละละเลยให้เกิดการ แพร่ระบาดของโรคในสัตว์ ทั้งวัวและสุกรจนส่งผลเสียหายแก่เกษตรกรจํานวนมาก ขณะที่มาตรการ ชดเชยเยียวยาแก่เกษตรกรไม่ทั่วถึงและเพียงพอ

ใช้สื่อรัฐบิดเบือน

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มี พฤติการณ์ใช้ตําแหน่งหน้าที่และสื่อของรัฐเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริง และสร้างความแตกแยกในสังคม ทําลายบรรทัดฐานอันดีของสังคม มุ่งประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี