สุพัฒนพงษ์ ยกผลสำรวจเจโทร เชื่อมั่นเศรษฐกิจสูงสุดในรอบ 7 ปี

สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์
สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์

สุพัฒนพงษ์ คนแรก พบ ประยุทธ์ หลังจากกักตัว 7 วัน โปรยยาหอมทั่วทำเนียบฯ แก้เศรษฐกิจถูกทาง-ยกผลสำรวจเจโทร นักลงทุนญี่ปุ่นเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยสูงสุดในรอบ 7 ปี

จ่อลด B7 เหลือ B5 อุ้มดีเซล

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์ภายหลังขึ้นไปพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม บนตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์มาปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลเป็นวันแรก ภายหลังกักตัวตามมาตรการด้านสาธารณสุข หลังจากเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2565

นายสุพัฒนพงษ์กล่าวถึงราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ว่าคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ครั้งที่ 3/2565 ได้มีการปรับสัดส่วนของส่วนผสมของน้ำมันชีวภาพจาก B7 เหลือ B5 และในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 จะแจ้งต่อคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานได้ทราบ ซึ่งจะประกาศในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2565

“จะมีส่วนช่วยลดต้นทุนของราคาน้ำมันดีเซลลงไปได้บ้าง ขณะเดียวกันน้ำมันปาล์มก็ไม่น่าจะลดลงไปกว่าเดิมมาก หรือลดลงเล็กน้อย”

นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า เดิมราคาพลังงานมีแนวโน้มจะอ่อนตัวลง แต่ราคาน้ำมันเพิ่งขยับตัวสูงขึ้นในช่วงมกราคม 2565 ซึ่งเกิดจากปัจจัยหลายสาเหตุที่มีผลต่อราคาพลังงานสูงขึ้น คือ สถานการณ์ตึงเครียดของการเมืองระหว่างประเทศในยุโรป ระหว่างรัสเซียกับยูเครน โดยมีสหรัฐอเมริกาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งสาเหตุเดิมก็ยังอยู่ คือ ค่าเงินบาทอ่อนตัว นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันจำนวนมาก แต่มาประสบปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้อากาศหนาวนาน

“รัฐบาลติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พยายามเต็มที่ ระหว่างนี้จึงต้องมีมาตรการตรึงราคาน้ำมันอยู่ แต่ราคาน้ำมันก็ยังเป็นไปตามกลไกราคาตลาดเสรี”

นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า ส่วนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องกู้เงินเพิ่มหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังอยู่ในกรอบวงเงินที่กำหนดไว้

ราคาน้ำมันพุ่งเพราะปัจจัยภายนอก

นายสุพัฒนพงษ์กล่าวถึงเสถียรภาพของรัฐบาลที่ต้องประสบกับปัญหาค่าครองชีพสูงขึ้น เช่น ราคาน้ำมันสูงขึ้น ราคาสินค้าสูงขึ้นว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากปัจจัยภายใน เกิดจากปัจจัยภายนอก ซึ่งเกิดขึ้นกับทุกประเทศ รัฐบาลจะพยายามทำให้ดีที่สุด ประคับประคอง

“ปัญหาเหล่านี้ คงไม่ใช่ปัญหาถาวร ถ้าปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเฉียบพลัน คลี่คลายลงไป ทุกอย่างจะกลับมาอยู่ในระดับที่พอจะบริหารจัดการได้และอยู่ในกรอบที่ดูแลได้ และเชื่อว่าทุกอย่างคงมีข้อสรุป และเตรียมแผนรับรองไว้แล้ว เพราะติดตามสถานการณ์ทุกวัน”

ยกผลสำรวจ เจโทร เชื่อมั่นสูงสุดรอบ 7 ปี

นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า วันนี้ราคาสินค้ายังไม่ขยับสูงขึ้น รัฐบาลยังตรึงราคาไว้อยู่และพยายามตรึงให้ดีที่สุด และจากการเข้าไปกวดขันราคาสินค้าไม่ให้เกิดการฉวยโอกาสขึ้นราคาเห็นว่า มีแนวโน้มที่ลดลง

“จะกระทบหรือไม่ ต้องรอดู แต่เมื่อวาน (1 ก.พ. 2565) องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) ประกาศผลการสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในไทยมองว่าเศรษฐกิจไทย หรือ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในครึ่งปี 2565 ผลออกมาเป็นบวก คือ มากขึ้น ดีขึ้นกว่าเดิม ดีขึ้นเท่ากับ 7-8 ปีที่ผ่านมา ถือว่าสูงสุดในรอบ 7 ปี” นายสุพัฒนพงษ์กล่าวถึงกระแสข่าวลือการยุบสภาและการรัฐประหารที่เกิดขึ้นในช่วงปีสุดท้ายของรัฐบาลจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจหรือไม่

นายสุพัฒนพงษ์กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยมาถึงในจุดที่ความมั่นใจเพิ่มขึ้น นักลงทุนเข้าใจ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากปัจจัยภายนอก นอกจากนี้นักลงทุนยังมองเห็นโอกาสการลงทุน ซึ่งเป็นปัจจัยบวกภายในประเทศ ที่เกิดขึ้นในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา

“สิ่งที่นักลงทุนญี่ปุ่นเข้าใจ คือ เรื่องการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำได้ดี การเปิดประเทศ และการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมา รวมถึงเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การขนส่ง ระบบคมนาคม ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้นักลงทุนญี่ปุ่น ซึ่งญี่ปุ่นเป็นประเทศหลักที่มีฐานการลงทุนในไทย และมองประเทศในมุมมองของนักลงทุนต่างประเทศว่ามีแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้น”

นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า หากมีโอกาสได้พูดคุยกับนักลงทุนต่างประเทศในระดับองค์กร ซึ่งทำผลสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุน จะเห็นว่าที่ผ่านมาถือว่า นักลงทุนพอใจและมาถูกทาง

ต่างชาติมองบวก-คนไทยไม่ทันใจ

นายสุพัฒนพงษ์เลี่ยงที่จะตอบคำถามว่า ถึงเวลานี้ยังจะเป็นกุนซือคู่นายกรัฐมนตรีจนวาระสุดท้ายของรัฐบาลนี้หรือไม่ “คุณถามดราม่านิดหน่อย (ยิ้มแห้ง ๆ) ผมทำหน้าที่เต็มที่ คุณก็รู้อยู่แล้ว”

“รัฐบาลทำดีที่สุด เหตุการณ์วันนี้เราเพิ่งผ่านวิกฤตครั้งสำคัญ ถามทุกคน เราเคยเจอวิกฤตครั้งสำคัญมาในชีวิตอย่างนั้นหรือ ถามว่า วิกฤตเหล่านี้หมดไปแล้วหรือยัง ถ้าหมดไปแล้วเกลี้ยง (ลากเสียงยาว) สนิท แล้วเรากลับมาสู่สภาพเดิมไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ง แต่วันนี้วิกฤตยังไม่หมดไป ประคับประคองกันไป ให้มีโอกาส มีแนวโน้มที่ดีขึ้น”

“วันนี้มุมมองของนักลงทุนที่อยู่ในประเทศไทยมองแล้วเห็นโอกาสว่าดีขึ้น คนไทยต่างหากที่อาจจะมองรู้สึกว่า ไม่ทันใจ แต่ต้องยอมรับว่าวิกฤตยังอยู่ เศรษฐกิจเราอาศัยการท่องเที่ยว การบริการเป็นหลัก ท่านนายกรัฐมนตรีตัดสินใจเปิดประเทศด้วยความระมัดระวัง เพิ่มรายได้ในส่วนนี้ให้กลับมาสู่ประเทศไทยให้เข้าสู่สภาพปกติให้เร็วที่สุด พร้อมทั้งให้มีการลงทุนให้มากที่สุด เพื่อให้ผ่านวิกฤตไปให้ได้ ด้วยความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ให้คนไทยกลับมามีชีวิตที่ปกติสุขด้วย เหมือนเดิม หรือดีกว่าเดิมด้วยซ้ำไป แต่ช่วงนี้ยังไม่พ้นวิกฤตต้องใช้เวลา และทำเต็มที่ มาตรการต่าง ๆ ออกมา ประคับประคอง”

นายสุพัฒนพงษ์กล่าวถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำว่า ยังไม่ได้ข้อสรุป เหตุการณ์ต้องดูวันต่อวัน ไม่ใช่ปัจจัยภายในอย่างเดียว แต่มีปัจจัยภายนอกด้วย ซึ่งปัจจัยภายนอกเป็นปัจจัยกระทบสำคัญ และเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่ประเทศไทยประเทศเดียว เกิดขึ้นทั่วโลก ที่สหรัฐอเมริกาวันนี้อัตราเงินเฟ้อ 7 เปอร์เซ็นต์ เป็นเรื่องปัจจัยภายนอก ต้องติดตามใกล้ชิด ถึงวันนั้นคงจะทราบว่ามีการแก้ไขและปรับตัวอย่างไร มีพลวัตเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมาก