
ปมนายกรัฐมนตรี 8 ปี ยังคงเป็น “ระเบิดเวลา” ซุกอยู่ใต้เก้าอี้ประมุขตึกไทยคู่ฟ้า “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ตอกย้ำ ด้วย “แผนสำรอง” ที่หลุดออกมาจากปาก “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เรื่อง “นายกฯสำรอง” หากเกิดอุบัติไม่คาดฝัน
“ไม่รู้ ยังไม่รู้ อาจจะมีคนสำรอง” พี่ใหญ่ 3 ป. แบไต๋ไม่การันตีว่าแคนดิเดตนายกฯ ในบัญชีพรรคพลังประชารัฐ จะมีชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์” เพียงชื่อเดียว
“แกนนำพรรคพลังประชารัฐ” ฟันธงล่วงหน้าว่า ผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกได้เพียง “สองหน้า”
หน้าที่หนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถึงปี 2568 กับ
หน้าที่สอง พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ถึงปี 2570
เขากางรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ที่พกติดตัวไว้ตลอดออกมาสนับสนุน ที่กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 158 วรรคสี่ ว่า นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังจากพ้นตำแหน่ง
“รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนไว้ให้ย้อนไปก่อนที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 บังคับใช้ กรณี พล.อ.ประยุทธ์สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ถึงปี 2568 เพราะรัฐธรรมนูญบังคับใช้ปี 2560 ส่วนอยู่ถึงปี 2570 เพราะตีความตามรัฐธรรมนูญมาตราเดียวกัน แต่นับตั้งแต่วันที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560”
“ที่ฝ่ายค้านบอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 24 สิงหาคม 2565 มีน้ำหนักน้อย เพราะจะขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วรรคสี่”
“ดังนั้น worst case ที่สุด คือ นับระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่รัฐธรรมนูญประกาศบังคับใช้ หรือ พล.อ.ประยุทธ์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2568 จึงไม่จำเป็นต้องมีนายกฯสำรอง เพราะจะไม่เกิดเหตุการณ์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องพ้นตำแหน่งในวันที่ 24 สิงหาคม 2565” เขามั่นใจว่าศาลรัฐธรรมนูญจะไม่ชี้เปรี้ยงให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องพ้นจากเก้าอี้นายกฯ ก่อนครบวาระ-เลือกตั้งต้นปี 2566
แม้คีย์แมนพลังประชารัฐ-กุนซือประยุทธ์ หลายคนจะปฏิเสธที่บอกแผนการ หาก “พล.อ.ประยุทธ์” ไม่รอดจากกับดัก “นายกฯ 8 ปี” เพราะอย่างน้อย ไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังมี พล.อ.ประวิตร
รวมถึง “เครือข่ายขุนทหาร-อำมาตย์” ที่ปิดชื่อไว้ เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมจะถูกหงายไพ่ออกเป็น “แผนสอง” เพื่อเปลี่ยน “ตัวแสดงใหม่” หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ ต้องปลดระวางไป
หลัง “พล.อ.ประวิตร” กลับจากต่างประเทศบิ๊กดีล ที่ถูกพูดถึงบนกระดานการเมืองให้เข้ากับนโยบายรัฐบาล อย่าง “นายกฯคนละครึ่ง” คือ ให้ “พล.อ.ประวิตร” เป็นนายกฯ 2 ปี และ “แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย” อีก 2 ปี
ปฏิเสธไม่ได้ว่า บทบาท-บารมีของพี่ใหญ่ ในกระดานการเมือง ขี่ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ไม่น้อย ด้วยสไตล์ “ใจถึง-พึ่งได้” ต่อท่ออำนาจได้กับทุกขั้ว ทั้งขั้วรัฐบาล-ขั้วฝ่ายค้าน-ขั้วแทง รอแทงข้างหลัง พล.อ.ประยุทธ์
โดยเฉพาะการต่อสายได้กับ “ผู้มีบารมีนอกพรรค” ของทุกพรรคการเมือง
ตรงข้ามกับ “พล.อ.ประยุทธ์” ที่อำนาจอัสดงไปตามกาลเวลา กลายเป็น “ยักษ์ไม่มีกระบอง” เหลือเพียงกลไก ส.ว. 250 คน คอยค้ำยัน
ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ประกอบกับ “เส้นแบ่ง” กับนักการเมืองสีเทา เป็นกำแพงกั้น เลือกที่จะยอมหัก-ไม่ยอมงอ กับนักการเมืองที่แสดงตนเป็นปรปักษ์ และมีสไตล์ ชอบเอาชนะกับทุกคำปรามาส
ยิ่งทำให้นักการเมืองถอยห่าง-เลือกตบเท้าเข้า “บ้านป่ารอยต่อ” มากกว่า ยกหู-ต่อสายถึงศูนย์กลางอำนาจ
แม้ “พล.อ.ประวิตร” จะออกตัวทุกครั้งว่า มาช่วยงาน พล.อ.ประยุทธ์-ไม่แสวงอำนาจเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เพราะความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง 3 ป. ที่ค้ำคอมากว่าครึ่งทศวรรษ
แต่ปัจจุบันสถานะของ พล.อ.ประวิตร ไม่ใช่เป็นเพียง “พี่ใหญ่” ที่คอยกางปีกปกป้องน้อง แต่ “อีกขา” คือ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่มีศักดิ์-สิทธิ์ที่จะอยู่ใบบัญชีแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค และก้าวขึ้นเป็น “เบอร์ 1 ตึกไทยคู่ฟ้า” ได้ถูกต้องตามกฎหมายทุกฉบับ
มิหนำซ้ำบารมีทางการเมืองของ พล.อ.ประวิตร ไม่ได้เพียงแต่แผ่ไปเฉพาะ “สภาล่าง” เท่านั้น แต่ยังขยายไปถึง “สภาสูง” ที่พร้อมที่จะอุ้มชู พล.อ.ประวิตร ข้ามรั้วทำเนียบรัฐบาล ไปนั่งเป็น “นายกฯสมัยแรก” เพื่อใช้เสียงปลดล็อกนายกฯ นอกบัญชีพรรคการเมือง
โดยเฉพาะ ส.ว.สายเพื่อน-พี่-น้องรัก พล.อ.ประวิตร ที่มี “เพื่อนร่วมรุ่น ตท.6” อาทิ พล.อ.เลิศฤทธิ์ เวชสวรรค์ พล.อ.ไพโรจน์ พานิชสมัย พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ พล.อ.อู้ด เบื้องบน
โดยมี “บิ๊กกี่” พล.อ.นพดล อินทรปัญญา เป็น “ดีลเมกเกอร์”
แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ปฏิเสธ-ตอบรับคำเชิญ และยินยอมให้พลังประชารัฐเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคอีกสมัย และ พล.อ.ประวิตร ปัดป้องที่จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ
ทว่า ความ “ไม่ลงตัว” ภายในพลังประชารัฐ ในการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ในนามพรรค ก็ยังเป็นเครื่องหมายคำถามว่า จะเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ เพียงชื่อเดียว หรือมีเบอร์ 2-เบอร์ 3
โดยเฉพาะการเสนอชื่อ “พล.อ.ประวิตร” ในฐานะหัวหน้าพรรค “ประกบ” เพื่อ “เปิดทาง” เจรจา “นายกฯในสภา” หากผลการเลือกตั้งออกมา “ไม่เข้าข้าง” ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์
ขณะเดียวกัน ความคลุมเครือของ “พรรคน้อง” อย่างพรรคเศรษฐกิจไทย ที่มี “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา “เพื่อนร่วมรุ่น” เป็นหัวหน้าพรรค และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า “ลูกน้องเก่า” เป็นเลขาธิการพรรค จะสนับสนุนใครเป็นนายกรัฐมนตรี
“คือสำหรับพี่ คนที่จะมาเป็นนายกฯ มันต้องเป็นคนที่เคมีใกล้ ๆ เรา ก็คือมีจิตเป็นสาธารณะ ทำงานเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองจริง ๆ” ร.อ.ธรรมนัส ไม่มีกั๊ก แย้มสเป็กนายกรัฐมนตรีในใจ
นอกจากคำพูดแล้วยัง ฟ้องด้วยภาพ “บิ๊กน้อย-ผู้กองธรรมนัส” ยกคณะ ส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทย รดน้ำอวยพรปีใหม่ไทย-เทศกาลสงกรานต์ พล.อ.ประวิตร ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด
ในเวลานี้ ส่งสัญญาณว่า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี (ในใจ) พรรคเศรษฐกิจไทย คือ “พล.อ.ประวิตร”