ครม.คลอดมาตรการลดผลกระทบน้ำมันแพง สั่งตรึงราคาขายปลีก NGV-LPG ความร่วมมือโรงกลั่นน้ำมัน หั่นกำไร ส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 3 เดือน
วันที่ 21 มิถุนายน 2565 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า วันนี้ที่หลายคนต้องการทราบคือ มาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจ สถานการณ์วิกฤตพลังงานที่ยังคงยืดเยื้ออยู่ในขณะนี้จากสถานการณ์ความขัดแย้งในยุโรป
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
เราคาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างหนักหน่วงสะสมในหลายมิติ น้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่าครึ่งปีที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และยังเพิ่มขึ้นทุกวัน บางวันก็ลดลงเล็กน้อย บางประเทศงดส่งออกโภคภัณฑ์ที่จำเป็น
ทำให้ห่วงโซ่อุปทานของโลกนั้นขาดแคลน เงินเฟ้อสูงทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐและยุโรป สูงกว่าร้อยละ 8 ในรอบกว่า 10 ปี ทำให้ค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้น ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น สินค้าราคาแพง และเสี่ยงที่จะฟื้นตัวจากเศรษฐกิจที่ชะงักลงในปัจจุบัน
รัฐบาลได้ติดตามอย่างต่อเนื่อง มีความกังวลใจไม่น้อยกว่าทุก ๆ ท่าน ได้สั่งการให้มีการประชุมหารือกันตลอดเวลา เพื่อศึกษาและเสนอแนะแนวทางอันเป็นประโยชน์ ที่สามารถดำเนินการแก้ปัญหาความเดือดร้อน วันนี้ ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชนและภาคธุรกิจอย่างเร่งด่วน ทั้งมาตรการใหม่ และขยายมาตรการเดิมที่จะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายนนี้
6 มาตรการลดผลกระทบ
อาทิ 1.ตรึงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 15.59 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนก๊าซ NGV ในโครงการ NGV เพื่อลมหายใจเดียวกัน สำหรับรถแท็กซี่ใน กทม. และปริมณฑล อยู่ที่ 13.62 บาทต่อกิโลกรัม เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ 16 มิถุนายน-15 กันยายน 2565
2.กำหนดกรอบราคาขายปลีกก๊าซ LPG อยู่ที่ 408 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่กรกฎาคม-กันยายน
3.ขยายเวลาให้ส่วนลดราคา ก๊าซ LPG ร้านค้า หาบเร่ แผงลอยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่เกิน 100 บาทต่อรายต่อเดือน ออกไปอีก 3 เดือน กรกฎาคม-กันยายน ส่วนผู้ที่มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะได้รับส่วนลดการซื้อก๊าซหุงต้ม จำนวน 100 บาทต่อราย 3 เดือน
4.อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลร้อยละ 50 ในส่วนที่ราคาขายสูงกว่า 35 บาทต่อลิตรเป็นเวลา 3 เดือน ถึงกันยายน
5.คงค่าการตลาดน้ำมันดีเซล ไม่เกิน 1.40 บาทต่อลิตร
6.ขอความร่วมมือโรงกลั่นน้ำมัน นำส่งกำไรจากค่าการกลั่นส่วนหนึ่งเข้ากองทุนน้ำมันฯเพื่อลดภาระราคาน้ำมันให้กับประชาชน ทั้งเบนซินและดีเซล ในช่วง 3 เดือน กรกฎาคม-กันยายน ทั้งนี้เป็นเรื่องของความร่วมมือ ก็ขอขอบคุณบรรดาสถานประกอบการที่ให้ความร่วมมือในเรื่องนี้
หนุนเอกชน จัดอบรม-สัมมนา
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีมาตรการภาษีสำหรับบริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เพื่อสนับสนุนการจัดอบรม สัมมนา การจัดนิทรรศการ การจัดแสดงสินค้าในประเทศ เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ สนับสนุนห่วงโซ่อุปทานและการท่องเที่ยว
ส่งเสริมการบริโภคและการจ้างงานเป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่ 15 กรกฎาคมถึงสิ้นปี 2565 โดยสามารถหักรายจ่าย ค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าเดินทาง รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมืองหลักจะหักได้ 1.5 เท่า เมืองรองหักได้ 2 เท่า ค่าเช่าพื้นที่ ค่าเข้าร่วมงาน ออกร้านการแสดงสินค้าต่าง ๆ หักได้ 2 เท่า
สั่งหน่วยงานรัฐลดใช้พลังงาน 20%
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อีกเรื่องหนึ่ง ที่จำเป็นและยั่งยืน คือ ขอให้ช่วยประหยัดพลังงานทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่ง รวมถึงภาคประชาชนให้มากที่สุด ขอความร่วมมือจากภาคต่าง ๆ และขอให้ทุกหน่วยงานเร่งออกนโยบายที่เหมาะสมตามศักยภาพของตนเอง ไม่ว่า เรื่องการเปิดไฟ ปิดไฟ อุปกรณ์ที่ไม่ได้ใช้ ลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ ส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะ ลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น และใช้การประชุมออนไลน์ เป็นต้น
ส่วนของภาครัฐได้กำหนดแล้วว่าให้ลดการใช้พลังงานลงร้อยละ 20 และเป็นตัวชี้วัดของหน่วยงานด้วย คือแนวทางที่รัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่ในการช่วยเหลือประชาชน
เตรียมแผนรองรับระยะยาว
นายกฯกล่าวอีกว่า ส่วนการประเมินสถานการณ์คงไม่สิ้นสุดในเวลาอันใกล้ ได้ให้มีการประชุมร่วมกันหารือ เตรียมแผนรองรับสถานการณ์ตามสมมุติฐาน ว่าหากสถานการณ์ยืดเยื้อระยะเวลาเท่านี้ ๆ เราควรจะทำอะไรได้บ้าง ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาพอกพูนไปได้เรื่อย ๆ โดยเฉพาะการดูแล ในการสมทบมาตรการต่าง ๆ จะมีปัญหาด้านงบประมาณการเงินการคลังต่อไปในอนาคต ทั้งมิติด้านอาหาร พลังงาน หลายอย่างมีผลกระทบทั้งสิ้น เราต้องวางแผนระยะยาว ผมได้ให้แนวทางมาตลอดอย่างต่อเนื่อง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
รัฐบาลยืนยันว่าจะพยายามหาทางช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยและผู้ประกอบการ บนพื้นฐานวินัยการเงินการคลังที่มีความสมดุลที่ไม่ก่อภาระในอนาคตมากเกินไป ต้องเห็นใจรัฐบาลด้วย หลายอย่างเราลดภาษีลงไป รายได้รัฐก็ลดลงอยู่แล้ว ดังนั้น เราจำเป็นต้องใช้อย่างคุ้มค่า และประหยัดด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน