
สัมภาษณ์
นับเป็นความท้าทายครั้งใหม่ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยเมื่อ ศบค.มีมติเปิดลงทะเบียนเข้าประเทศแบบไม่กักตัวในรูปแบบ test & go ผ่านระบบ Thailand Pass อีกครั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 นี้ เพราะการเปิดประเทศครั้งนี้เป็นการเปิดโดยไม่กำหนดประเทศต้นทาง และสามารถเดินทางเข้ามาได้ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ
โดยมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขที่ดีขึ้นจากเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2564 ที่เปิดรับ test & go จากแค่ 63 ประเทศและจำกัดพื้นที่นำร่องรองรับเพียงแค่เมืองท่องเที่ยวหลัก ๆ เท่านั้น
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้ร่วมสัมภาษณ์ “ศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร” นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) สมาคมตลาดอินบาวนด์ (นักท่องเที่ยวขาเข้า) ถึงความคิดเห็นความคาดหวัง รวมถึงแนวทางเสนอแนะสำหรับการกลับมาเปิดประเทศในครั้งใหม่นี้ ไว้ดังนี้
เตรียมเดินแผนเชิงรุก
“ศิษฎิวัชร” บอกว่า ภาคเอกชนท่องเที่ยวประเมินว่าการเปิดประเทศในรูปแบบ test & go ครั้งนี้น่าจะทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวค่อย ๆ ดีขึ้น และจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญในเชิงจิตวิทยาคนในประเทศก็จะรู้สึกดีขึ้นเช่นกัน
ในส่วนของสมาคมนั้นมีแผนจะทำงานใกล้ชิดกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และกระทรวงการท่องเที่ยวฯมากขึ้นเพื่อร่วมวางแผนการตลาดและเดินหน้าผลักดันการเปิดตลาดอย่างเต็มที่ในตลาดที่ประเมินแล้วว่ามีความเป็นไปได้สูง ไม่ว่าจะเป็นยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ เอเชีย-แปซิฟิก ฯลฯ
โดยเฉพาะตลาดระยะไกลอย่างยุโรป อเมริกา อาทิ เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย ฯลฯ รวมถึงอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดที่เปิดกว้างเต็มที่แล้วในช่วงที่ผ่านมา
ขณะที่จีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่นั้นจากการเจรจากับทูตจีนประจำประเทศไทยล่าสุดน่าจะเริ่มทยอยกลับมาได้บ้างในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ หลังจากเสร็จสิ้นงานเอเชียนเกมส์ในเดือนกันยายน 2565
“เราไม่อยากให้รัฐบาลเปิด ๆ ปิด ๆ test & go เพราะจะทำให้มู้ดการเดินทางท่องเที่ยวไม่ต่อเนื่อง เปิดรอบนี้แล้วก็เปิดไปตลอด ตอนนี้เราอยู่เฉยไม่ได้แล้ว สมาชิกของสมาคมก็เรียกร้องอยากให้ผลักดันเรื่องเปิดประเทศ เพื่อให้ทุกคนได้มีงานทำ หรือย่างน้อย ๆ ก็ทำให้เห็นทิศทางเพื่อให้ทุกคนมีกำลังใจบ้าง หลังจากที่เราอยู่ในภาวะไม่มีธุรกิจกันมา 2 ปีเต็ม”
พร้อมให้ข้อมูลว่า ในปี 2565 นี้ ภาคผู้ประกอบการท่องเที่ยว โดยเฉพาะบริษัทนำเที่ยวไม่ได้คาดหวังขนาดว่าจะลืมตาอ้าปากได้ แต่ขอเพียงแค่ยังหายใจได้ก็พอแล้ว
วอน กต.ทำ Travel Bubble
“ศิษฎิวัชร” บอกด้วยว่า ยอมรับว่าสถานการณ์ ณ เวลานี้เป็นช่วงที่ทุกอย่างยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ แต่ทุกภาคส่วนก็ต้องพยายามทำงานภายใต้ความไม่ปกติให้ได้เช่นกัน โดยนอกจาก ททท. และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ แล้วในมุมมองของสมาคมอยากให้กระทรวงการต่างประเทศเข้ามาช่วยในเชิงการทูต
รวมถึงช่วยเจรจาในเรื่องการจับคู่เปิดตลาดระหว่างประเทศ หรือ travel bubble อีกทางหนึ่งด้วย เพื่อให้การเปิดตลาดการท่องเที่ยวเดินได้เร็วขึ้น
“ประเด็นการเปิดประเทศนั้นแม้เราจะเปิดให้ทุกประเทศเข้ามา ปัญหาสำคัญอยู่ที่ว่านักท่องเที่ยวที่เข้ามานั้นจะถูกกักตัวเวลากลับไปประเทศเขาหรือไม่ หากขากลับยังถูกกักตัวนักท่องเที่ยวจะยังไม่ออกเดินทาง ดังนั้น กระทรวงการต่างประเทศจำเป็นต้องเข้ามาช่วยด้านการทูตด้วย”
ทั้งนี้ ประเมินว่า หากการเปิดประเทศเป็นไปตามแผน และดีขึ้นเรื่อย ๆ คาดว่าปีนี้ประเทศไทยน่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมที่ประมาณ 5 ล้านคน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ประเมินไว้ที่ประมาณ 5-8 ล้านคน
ชี้ซาอุฯโตได้อีก 10 เท่าตัว
“ศิษฎิวัชร” บอกอีกว่า อย่างกรณีของซาอุดีอาระเบียที่นายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) เดินทางไปฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลซาอุฯนั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีทางด้านการท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน เนื่องจากซาอุฯเป็นตลาดที่มีศักยภาพ เศรษฐกิจดี ประชากรมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง โดยในปี 2562 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวจากซาอุฯเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยประมาณ 30,000 คน ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรที่มีกว่า 30 ล้านคน
และยังถือว่าเป็นตลาดที่มีขนาดเล็กมากหากเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง อย่างอิสราเอล มีประชากรรวมประมาณ 10 ล้านคน แต่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาไทยในปี 2562 ประมาณ 200,000 คน หรือคูเวต ที่มีประชากรประมาณ 4 ล้านคน แต่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเกือบ 100,000 คนในปี 2562
“ส่วนตัวเชื่อว่าหากเรามีความสัมพันธ์ที่ดีทางการทูตนับจากนั้นซาอุดีอาระเบียจะเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และหากประเมินตามจำนวนประชากรก็น่าจะมีโอกาสเติบโตเพิ่มขึ้นได้ไม่ต่ำกว่า 10 เท่าตัว หรือไม่ต่ำกว่า 300,000 คนต่อปี”
ชงทบทวนค่าเหยียบแผ่นดิน
“ศิษฎิวัชร” ยังพูดถึงกรณีกระทรวงการท่องเที่ยวฯ มีนโยบายเก็บค่าธรรมเนียมท่องเที่ยว หรือ “ค่าเหยียบแผ่นดิน” ด้วยว่า สมาคมไม่เห็นด้วยกับการจัดเก็บดังกล่าว แต่หากรัฐบาลต้องเดินตามกฎหมาย หรือ พ.ร.บ.ท่องเที่ยวแห่งชาติฯ ฉบับใหม่ สมาคมอยากเสนอให้เลื่อนการจัดเก็บไปก่อนเนื่องจากสถานการณ์โดยรวมในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวย และอาจส่งผลต่อความรู้สึและมู้ดการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
นอกจากนี้ยังอยากให้รัฐบาลทบทวนวิธีการจัดเก็บ รวมถึงวิธีการใช้เงินอีกครั้งว่าใช้สำหรับอะไรบ้าง และใช้อย่างไร และเสนอให้นำเงินที่จัดเก็บได้บางส่วนมาจัดตั้งเป็นกองทุนเพื่อการท่องเที่ยว ไว้ใช้สำหรับช่วยเหลือผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเมื่อเกิดวิกฤต และไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมถึงดูแลและช่วยเหลือภาคแรงงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวด้วย