ดร.ประทีป บิ๊กบอสศุภาลัย เชื่อ ต่างชาติส่วนใหญ่แห่ซื้อคอนโดฯ มากกว่าซื้อบ้าน-ที่ดิน
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2565 ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ได้เผยแพร่บทความเรื่อง “ขายบ้านและที่ดินให้กับต่างชาติ = ขายชาติ” มาตรการส่งเสริมชาวต่างชาติ เฉพาะกลุ่มให้มีสิทธิ์ซื้อบ้าน+ที่ดินไม่เกิน 1 ไร่ในเขตเมืองเริ่มร้อนแรง มีการถกเถียงกันมากขึ้น ๆ และระบุว่าคือ “ขายชาติ”
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
เมื่อมีคนค้านมาก ๆ เข้าก็มีคนเสนอให้หาทางถอยด้วยการปรับเปลี่ยนจากยอมให้ชาวต่างชาติ “ถือกรรมสิทธิ์” เป็น “การเช่าระยะยาว” ไม่เกิน 30 ปีแทน เพราะ ”การเช่า” จะเรียกว่า “ขาย” ไม่ได้
ส่วนการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวระยะสั้นนั้น คนไทยเกือบทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้คนไทยมีงานทำมากขึ้นมีรายได้ดีขึ้น
ขณะเดียวกัน คนไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรจึงรักผืนแผ่นดินมากซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
ความคิดดังกล่าวข้างต้นจาก 1.การขาย 2.การเช่าระยะยาว และ 3.การท่องเที่ยวระยะสั้น สามกรณีถ้านำมาประมวลและเปรียบเทียบเป็นตัวอย่างให้เข้าใจง่าย ๆ จะเป็นดังนี้…
ถ้ามีชาวต่างชาติจะแต่งงานกับคนไทยตลอดชีวิต และคนไทยยอมแต่งด้วย จะถูกสรุปว่า ”ขายชาติ”
แต่ถ้าเขาขอแต่งงานด้วยระยะยาวไม่เกิน 30 ปี จะมีผู้รู้สึกว่าน่าจะยอมรับได้
แต่ถ้าเขาขอแต่งด้วยไม่กี่วัน โดยจ่ายค่าตอบแทนตามที่เราต้องการ เราก็ถือว่าไม่น่าจะเสียหายอะไร กระนั้นหรือ ?
ถ้าชาวต่างชาติซื้อบ้าน+ที่ดิน 1 ไร่ในราคา 40 ล้านบาท จะเทียบเท่านักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาใช้จ่ายคนละ 50,000 บาท 800 คน
หรือถ้าซื้อคอนโดมิเนียมราคา 10 ล้านบาทจะเทียบเท่านักท่องเที่ยวที่ใช้จ่าย 5 หมื่นบาท 200 คน
บางคนคิดว่าการยินยอมให้ชาวต่างชาติซื้อที่ดินได้ไม่เกิน 1 ไร่จะก่อให้เกิดการเก็งกำไร ทำให้ที่ดินราคาแพงจนคนไทยซื้อไม่ไหว
ที่จริง “การเก็งกำไร” นั้นประเทศไทยเราเปิดกว้างมานานแล้ว ให้ชาวต่างชาติทั่วโลกเข้ามาลงทุน/เก็งกำไรในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยยกเว้นการเสียภาษีเงินได้ ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก
อนึ่ง การลงทุนในหุ้นหรือหลักทรัพย์ ใช้เงินลงทุนเพียงหลักหมื่นก็ทำได้ อีกทั้งสภาพคล่องการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ก็สูงกว่าและดีกว่าอสังหาริมทรัพย์มาก
กล่าวคือ ถ้าต้องการขายหลักทรัพย์จะสามารถขายได้เกือบทุกวัน แต่ถ้าจะขายที่ดินส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาเป็นเดือน
ดังนั้น ชาวต่างชาติถ้าต้องการเก็งกำไรในประเทศไทยเขามีทางเลือกที่ดีกว่าง่ายกว่าการเก็งกำไรที่ดิน ก็คือตลาดหลักทรัพย์ฯนั่นเอง หรืออาจจะหันไปเก็งกำไรเงินตราในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย…
ผมจึงไม่คิดว่าชาวต่างชาติจะแห่กันมาซื้อบ้าน+ที่ดินมากอย่างที่พวกเราหลายคนเป็นห่วง เพราะตั้งแต่ถูกจำกัดด้วยคน 4 กลุ่มที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ ซึ่งได้แก่ผู้มีรายได้สูง คนเกษียณ ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ที่ประสงค์พำนักเพื่อทำงาน
ผมยังเชื่อว่าชาวต่างชาติส่วนใหญ่จะนิยมซื้อคอนโดฯ หรือห้องชุดที่ประเทศไทยเปิดโอกาสให้ซื้อได้มานานแล้ว
โดยจะซื้อมูลค่ากี่ร้อยล้านก็ได้ โดยไม่จำกัดด้วยขนาดหรือราคาของห้องชุด เพียงแต่ต้องไม่เกินร้อยละ 49 ของแต่ละอาคารชุด
ส่วนที่เหลือจะถือกรรมสิทธิ์โดยคนไทยร้อยละ 51
เหตุผลที่ชาวต่างชาติจะนิยมคอนโดฯมากกว่า เพราะคอนโดฯมักมีทำเลใจกลางเมืองที่เดินทางสะดวกและใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากกว่า
ถ้าพิจารณาให้ถ่องแท้แล้ว การส่งเสริมให้ชาวต่างชาติให้มาซื้อบ้านหรือคอนโดฯ ในประเทศไทย จะเปรียบเสมือนมาตรการยิงนกทีเดียวได้ 3 ตัวคือ
1.เป็นการส่งเสริมการส่งออก โดยสินค้านั้นยังคงอยู่ในประเทศไทย
2.เป็นการส่งเสริมการลงทุนที่เราได้เงินตราเข้าประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจทำให้คนไทยมีรายได้ดีขึ้น
3.เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างถาวร เพราะเขาจะอยู่นานมากขึ้น และมาบ่อย ๆ ช่วงที่อยู่ก็ต้องจับจ่ายใช้สอยต่าง ๆ
เมื่อชาวต่างชาติมาซื้อบ้านหรือคอนโดฯ แต่ละรายเทียบเท่านักท่องเที่ยวหลายร้อยคนแล้ว การส่งเสริมให้อยู่ระยะยาวจะดีกว่าการส่งเสริมให้อยู่ระยะสั้น ๆ หรือไม่ ?