เศรษฐา ทวีสิน : 2564 Year of Hope จูงมือพันธมิตรสู่ความแข็งแกร่งรอบด้าน

ภาคเช้าพฤหัสบดี 21 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา บิ๊กแบรนด์ค่ายแสนสิริ นำโดย “เสี่ยนิด-เศรษฐา ทวีสิน” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ประกาศแผนลงทุนปี 2564 ภายใต้ตีมการทำธุรกิจ Year of Hope หนทางสานความหวัง 3 ด้านให้เป็นจริง รายละเอียดคำต่อคำ ดังนี้

ปี 2564 แสนสิริมีการทำกลยุทธ์ 3 เรื่องเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ เริ่มต้นจากกลยุทธ์สปีด ทู มาร์เก็ต การทำธุรกิจด้วยความเร็ว ปรับตัวเร็ว ทันต่อสถานการณ์ ส่งผลให้ยอดขายของแสนสริในยอดขายไตรมาส 1/2563-2/2563 โตสวนกระแส และสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์แม้มีการล็อกดาวน์

โดยครึ่งปีแรกมียอดขาย 26,000 ล้านบาท สูงกว่าปี 2562 ถึง 148% เป็นผลมาจาก customer centric strategy การเข้าใจลูกค้า ช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ รวมถึงมีการให้บริการ และมีแคมเปญการขายที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ผ่านแสนสิริแคร์ ดูแลลูกค้าอย่างรวดเร็ว เพิ่มความปลอดภัยและอุ่นใจในช่วงโควิด-19

สำหรับแคมเปญแสนสิริผ่อนให้ 24 เดือน ถือเป็นแคมเปญที่โดนใจลูกค้า เป็นโปรโมชั่นที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก มาจากหลักการคิดที่ว่าลูกค้ากังวลเรื่องความไม่แน่นอนของสถานภาพการจัดซื้อจัดจ้างของลูกค้าเอง หรือสภาพเศรษฐกิจโดยรวม โปรโมชั่นดังกล่าวทำให้ลูกค้าหมดกังวล และทำให้เป็นจุดทริกเกอร์พอยต์ในการที่ลูกค้าจะตัดสินใจเข้ามาซื้อสินค้าของเราได้

ดังนั้นไตรมาส 1/2564 แสนสิริจึงนำโปรโมชั่นผ่อนให้ 24 เดือนกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง

เราให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขายเป็นอันดับหนึ่ง เป็นจุดแข็งของแสนสิริ เพราะบ้านต้องได้มากกว่าบ้าน การใส่ใจสิ่งแวดล้อมภายใต้ Sansiri Sustainability Vision ผลวิจัยระบุว่าลูกค้ายุคใหม่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมสูง และเป็นปัจจุยที่สำคัญในการเลือกซื้อบ้าน

เราได้รางวัลจาก Marketeer และ Terra BKK สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์เรา และได้รับการยอมรับอย่างมากจากลูกค้า รวมทั้งเป็นบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับจาก WorkVenture ให้เป็นบริษัทท็อป 10 ที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วยมากที่สุด เป็นความภาคภูมิใจอันสูงสุดของเรา

Strategy สุดท้าย cash flow strategy หรือการบริหารกระแสเงินสด เราขายสินค้าคงเหลือออกไปได้เยอะมาก โครงการ Sold Out ไปถึง 35 โครงการ มูลค่า 64,600 ล้านบาท เมื่อเราขายสินค้าไปได้เยอะข้อดีคือมีกระแสเงินสดสูง เงินหมุนเวียนสูงขึ้น สภาพคล่องในบริษัทดี ส่งผลให้เรามีสภาพคล่องในมือกว่า 15,000 ล้านบาท

ช่วยลดอัตราหนี้สิน และช่วยเพิ่มสภาพคล่อง เคลียริ่งเรโชตกลงไปจาก 1.7 เหลือ 1.3 สะท้อนความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน ส่งผลให้นักลงทุนละสถาบันการเงินให้ความเชื่อมั่นอย่างสูง

เรามีการออกบอนด์หรือหุ้นกู้ ซึ่งในปี 2563 เราออกขายไป 4,500 ล้านบาท มียอด over subscribe สูงถึง 5,400 ล้านบาท เรามีการดำเนินธุรกิจที่เป็นไปตามเป้า มีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินจากการที่เราปรับแผนตลอดเวลาในภาวเศรษฐกิจที่ผันผวน

ปี 2563 เราเปิดตัวทั้งหมด 12 โครงการ มูลค่า 15,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 11 โครงการ คอนโดมิเนียม 1 โครงการ คอนโดฯ อาจจะน้อยหน่อย แต่ก็เป็นไปตามความต้องการของตลาด เพราะตลาดมีความโอเวอร์ซัพพลายคอนโดมิเนียมสูง เพราะฉะนั้นเราจึงเปิดแค่ 1 โครงการ

สำหรับยอดขายเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ 35,000 ล้านบาท โต 67% จากปี 2562 แบ่งเป็นแนวราบ 60% แนวสูง 40% ขณะที่ยอดโอนเป็นไปตามเป้า โดยมียอดโอนสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ถึง 45,000 ล้านบาท โต 45% จากปี 2562 เป็นแนวราบ 43% แนวสูง 57%

เมื่อถามถึงภาพรวมของปี 2564 ว่าจะเป็นอย่างไร ก็ต้องย้อนกลับไปในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 ในเรื่องของโควิด ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการบริหารจัดการได้อย่างดีเยี่ยม ระบบสาธารณสุขของประเทศแข็งงแกร่ง ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ทำให้เราระยะหลังเราไม่มียอดผู้ติดเชื้อเลย

กระทั่งเมื่อประมาณต้นเดือนธันวาคม 2563 ที่มีการลักลอบเล่นการพนันและลักลอบเข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมาย ที่ไม่มีการตรวจคัดกรอง ทำให้เกิดการระบาดรอบสอง นี่เป็นสิ่งที่ต้องท้าวความ เพราะความไม่แน่นอนมีสูงมาก ตราบใดที่ยังมีโควิด-19 อยู่บนโลก

ผมเชื่อว่าระบบสาธารณสุขของไทยยังคงแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามความไม่แน่นอน ความผันผวนทางด้านเศรษฐกิจ เรื่องโควิดที่ไม่แน่นอน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ยังต้องมีอย่างต่อเนื่อง ไม่มีใครกล้าพูดว่าปีนี้จะดีกว่าปีที่ผ่านมา เพราะความไม่แน่นอนตรงนี้ ผมเชื่อว่ากำลังซื้อก็ยังจะไม่กลับมาภายในเวลา 1 ปีครึ่งหรือ 18 เดือนข้างหน้า

ที่ผ่านมามีมาตรการออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบฯ 2 แสนล้านกระตุ้นเศรษฐกิจ ชิมช้อปใช้ คนละครึ่ง ซอฟต์โลน เหล่านี้ก็ถือว่าเป็นมาตรการที่ดี แต่อยากให้ดอกเบี้ยลงอีก โครงการคนละครึ่งกับชิมช้อปใช้เป็นมาตรการเอาเงินใส่กระเป๋าคน แต่การลดดอกเบี้ยเป็นการให้เงินอยู่ในกระเป๋า ความรู้สึกที่ต้องมีการจ่ายดอกเบี้ยทุกเดือนค่อนข้างเจ็บปวด ถ้าลดลงสักหน่อยหนึ่งผมว่ากำลังซื้อก็จะกลับมาเราก็จะอยู่ได้ โดยไม่ต้องใช้งบประมาณ

สำหรับทิศทางอสังหาริมทรัพย์แน่นอนว่าล้อไปกับเศรษฐกิจโดยรวม เศรษฐกิจดีธุรกิจเราก็ดี เป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยสายป่านที่ยาว ผมว่าอสังหาฯรายกลาง-เล็กเหนื่อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแบรนด์ การเข้าถึงแหล่งเงินกู้ การบริการหลังการขายซึ่งด้อยกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ รายใหญ่เองก็ลงมาสู้ทุกตลาด ปีนี้น่าจะเห็นโครงการจากรายกลาง-เล็กออกขาย ไม่ว่าจะเป็นโครงการหรือที่ดินเปล่าก็ตาม

อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าปี 2564 ก็ยังเป็นปีแห่งความหวัง The Year of Hope ไม่ใช่แค่ความหวังของแสนสิริคนเดียว แต่เป็นความหวังของลูกค้า สังคม และคนไทยทุกคน ความหวังการมีบ้านของคนไทย ความหวังในการเสริมความแข็งแกร่งของแสนสิริ ซึ่งแข็งแกร่งอยู่แล้วให้แข็งแกร่งมากขึ้นอีก ความหวังในการส่งคืนรอยยิ้มครอบครัวแสนสิริและสังคมคนไทยทุกคน

ความหวังแรก “ความหวังในการมีบ้านของคนไทย” คืออะไร แสนสิริจะเปิดตัวโครงการแนวราบในราคาที่จับต้องได้มากขึ้น เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบ้านของคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงินกู้ เรื่องของราคา การให้การบริการ จะโฟกัสที่กลุ่มเรียลดีมานด์มากขึ้น ภายใต้แบรนด์สิริ เพลส, อณาสิริ, สราญสิริ รวมถึงตลาดบนอย่างบุราสิริเราก็ยังทำอย่างต่อเนื่อง

เราจะมีการเปิดตัวคอนโดฯ แนวคิดใหม่ เพื่อให้คนรุ่นใหม่มีบ้านได้ง่ายขึ้น ในราคาที่เข้าถึงง่ายอย่างแน่นอน ช่วงอายุ 28-30 ปี ทำเลที่ตั้งใจกลางเมืองไม่ว่าจะเป็นเกษตร-นวมินทร์ รามคำแหง รัชดา บางนา เป็นทำเลที่ดีมาก เป็นทำเลที่มีสังคม มีความเจริญ เหล่านี้เป็นทำเลที่เราซื้อที่ดินไว้แล้ว พร้อมที่จะเปิดตัว แต่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น ยังมีทำเลต่าง ๆ ทยอยออกมาอีก

สินค้าคอนโดฯ ราคาเริ่มต้นเพียง 1 ล้านเศษ ซึ่งเราไม่ได้ทำคอนโดฯ ระดับนี้มา 10 ปีแล้ว ทาวน์โฮมระดับบนภายใต้แบรนด์สิริ เรสซิเดนซ์ ก็จะกลับมาอีก มีการเปิดตัวบ้านใหม่ 3 ชั้นสำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีอิสระในความเป็นอยู่ ปีนี้แสนสิริจะมีโครงการที่หลากหลายในทุกระดับราคา เปิดหลายทำเล ครอบคลุ่มทั่วกรุงเทพฯ-ปริมณฑล เพื่อให้คนไทยสามารถมีบ้านที่เข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสม

ความหวังที่สอง “ความหวังในการเสริมความแข็งแกร่งของแสนสิริ” ปัจจุบันเราก็แข็งแรงอยู่แล้ว ด้วยเงินหมุนเวียนถึง 15,000 ล้านบาท ปีนี้เราจะแข็งแกร่งขึ้นอีก โดยที่โฟกัสไปที่สปีด ทู มาร์เก็ต เปิดตัวโครงการไซซ์ที่ไม่ใหญ่มากนัก กระจายไปในหลายทำเล เพื่อให้คนเข้าถึงได้ ให้มีอินเวนทอรี่ไม่มาก และการหมุนกลับไปเป็นแคชได้เร็วขึ้น

ยอดโอนของต่างชาติที่ก็ยังมีอย่างต่อเนื่อง แม้มีสถานการณ์โควิดก็ตาม แต่เมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลายไปในปลายปี 2564 นี้ ผมเชื่อว่าก็ยังมียอดขายและยอดโอนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง กระแสเงินสดในปีที่ผ่านมาเรามีการระมัดระวังเป็นอย่างมาก เราก็จะระมัดระวังต่อไป เราก็จะไม่เปิดตัวอย่าง aggressive

เราจะคงไว้ซึ่งความมีวินัยในแง่ของการรักษาระบบ ระดับหนี้สินที่เราควบคุมได้ ปรับโครงสร้างองค์กร ใช้คนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ให้โอกาสในการเติบโตอย่างทัดเทียมกัน

ในภาวะเช่นนี้อาจจะมีผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็กที่เอาโครงการหรือที่ดินออกมาขาย เป็นโอกาสของแสนสิริที่จะเลือกซื้อสินทรัพย์จากรายกลาง-รายเล็กเหล่านี้

ยืนยันว่าไม่ใช่เป็นผลดีต่อแสนสิริอย่างเดียว แต่ยังเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมในภาพใหญ่ด้วย เพราะการที่เราเข้าไปซื้อ เข้าไปช่วย ทำให้ไม่เกิดหนี้เสียในระบบ สถาบันการเงินก็ยังแข็งแกร่ง ยังช่วยพยุงเพื่อนร่วมธุรกิจที่เป็นบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางก็ยังอยู่รอดได้โดยไม่ต้องปิดตัว

เราทำได้ดีมากในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมาจนมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน และจะเดินหน้าต่อไป ดำเนินธุริจเพื่อสานต่อความแข็งแกร่งในปี 2664 ด้วยการเปิดโครงการใหม่ 24 โครงการ มูลค่า 26,000 ล้านบาท

ปีนี้เราจะเปิดโครงการมากขึ้นกว่าเดิม โดยเน้นราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น คิดเป็นสัดส่วน 3 ใน 4 ของทั้งหมด เพื่อให้คนไทยมีบ้านหลังแรกได้ง่ายขึ้น

ตั้งเป้ายอดขาย 26,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 16,000 ล้านบาท และคอนโดฯ 10,000 ล้านบาท เป้ายอดโอน 27,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 16,000 ล้านบาท และคอนโดฯ 11,000 ล้านบาท เรามีแบ็กล็อกที่แข็งแกร่งซีเคียวรายได้แล้วถึง 27,700 บาท ภายในระยะเวลา 4 ปีข้างหน้า

ความหวังข้อสุดท้าย เป็นความหวังที่แสนสิริและผมอยากมีส่วนร่วมในการสร้างปีนี้ คือ “ความหวังที่จะคืนรอยยิ้มให้แก่ครอบครัวแสนสิริและสังคมไทย” เมื่อเราแข็งแรงแล้ว เราต้องช่วยคนอื่น คนตัวใหญ่ต้องช่วยคนตัวเล็ก คนแข็งแรงต้องช่วยคนอ่อนแอ เศรษฐกิจโดยรวมถึงจะไปได้ และทุกคนในสังคมก็จะรอดวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

คนไทยทุกคนมีหน้าที่ ผมเองก็มีหน้าที่ในการบริหารองค์กร ดูแลลูกค้าแสนสิริ และพนักงานให้ดีที่สุด เมื่อเรามีกำลังแล้วเราก็มีหน้าที่แบ่งปัน ช่วยเหลือลูกค้าและสังคมด้วย รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าคนไทยมานานแล้ว อยากให้ปีนี้เป็นปีแห่งรอยยิ้มและความหวัง และใช้สิ่งนี้กระตุ้นตัวเองให้ลุกขึ้นสู้ ทุกอย่างจะผ่านไปได้ง่ายขึ้น

เราจะสร้างแห่งรอยยิ้มและความหวังให้กับแสนสิริและสังคมไทยอย่างไร อันดับแรกในส่วนของแสนสิริ เราจะใช้แบรนด์ที่แข็งแกร่งของแสนสิริดำเนินการต่อภายใต้แนวคิดเมดฟอร์ไลฟ์ แต่ปีนี้จะเป็นปีที่เข้าถึงได้มากขึ้น เราลงมาทำตลาดล่าง ตลาดแมสมากขึ้น มีการสื่อสารที่สนุกสนาน มีสีสันมากขึ้น โดยจับมือกับพันธมิตรหลาย ๆ เจ้า หนึ่งในนั้นคือแบรนด์อาหาร เชื่อว่าจะสร้างเซอร์ไพรส์และความสนุกสนานที่ทุกคนไม่นึกว่าเราจะทำ ติดตามชมกันครับ

อันดับต่อมาแสนสิริจะเข้มข้นกับมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดตามนโยบายของรัฐบาล และดำเนินการหลังการขายที่ดี เพื่อดูแลครอบครัวแสนสิริตลอดการอยู่อาศัย เพิ่มความภูมิใจในการอยู่บ้านของลูกบ้านแสนสิริ และได้อาศัยในบ้านที่ให้มากกว่าบ้าน เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญสูงสุด

ผมเกริ่นไปแล้วตั้งแต่ตอนเริ่มต้นว่าเอสเอ็มอีประสบปัญหาเยอะ แสนสิริอยู่ในภาคอุตสาหกรรมซึ่งถือว่าสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยแก้ไขปัญหาได้ อาจจะต้องมีการลดความคาดหวังหรือกำไรลงบ้าง เพื่อที่จะตัดส่วนหนึ่งไปช่วยซื้อสินค้าและการบริการจากเอสเอ็มอี ช่วยผลักดันเขาผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่เรามีอยู่ ช่วยให้เขาขายได้มากขึ้น

เอสเอ็มอีก็คือฐานลูกค้าของแสนสิริ มากกว่านั้นก็คือเป็นเครื่องจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เอสเอ็มอีขายได้ เอสเอ็มอีไปรอด บ้านเราก็ขายได้ ประเทศก็ไปได้ครับ

นอกจากนี้ เรายังมีความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือและสร้างโอกาสให้แก่เด็ก ๆ โดยเราจะทำผ่านยูนิเซฟ องค์กรของสหประชาชาติซึ่งเราเป็นพันธมิตรมานานกว่า 10 กว่าปีแล้ว ในฐานะที่เราได้รับเลือก เป็นเกียรติอย่างสูง ยูนิเซฟซีเล็กเตด พาร์ตเนอ์รายแรกของประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อยู่ใน category เดียวกันกับบริษัทชั้นนำทั่วโลกที่ยูนิเซฟได้คัดเลือกแล้ว โดยวัดจากความตั้งใจจริงในการช่วยเหลือเด็กอย่างยั่งยืน

เป็นความภาคภูมิใจที่บริษัทของเราสามารถอยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกับบริษัทชั้นนำทั่วโลก เป็นความภาคภูมิใจ เป็นความตั้งใจ เป็นแรงบันดาลใจให้เราทำต่อ

นอกเหนือจากนั้นเรายังมีแสนสิริ อคาเดมี โครงการสอนฟุตบอลให้กับเด็กและเยาวชนใน 5 สนามทั่วประเทศ ที่เราทำมากว่า 15 ปีแล้ว มีนักกีฬาช้างเผือกส่งให้โรงเรียนต่าง ๆ มีนักฟุตบอลอาชีพหลายคน หนึ่งในนั้นก็คือ เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์

ความหวังในการสร้างรอยยิ้มให้โลก และรับผิดชอบต่อสังคมผ่าน Sansiri Sustainability Vision ยืนยันนะครับ เมื่อทุกคนมีความหวัง เราจะผ่านปี 2564 ไปได้อย่างแข็งแกร่งด้วยกัน แสนสิริรขอเป็นฟันเฟืองเล็ก ๆ ที่อยู่ในเครื่องจักรไทยแลนด์ที่ใหญ่ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทย