SCG แถลงผลประกอบการไตรมาส 2/64 มีกำไรเพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาส 1/64 พร้อมมุ่งปรับตัวให้ทันตลาด ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลจับเทรนด์ปรับปรุงบ้าน พัฒนานวัตกรรมเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง รุกตลาดเศรษฐกิจหมุนเวียน และเร่งเครื่องขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ สร้างการเติบโตระยะยาว รวมถึงยกระดับมาตรการ “Bubble & Seal” สู้โควิด คุมเข้มความปลอดภัยของพนักงาน-กระบวนการผลิตขั้นสูงสุด
วันที่ 30 กรกฎาคม 2564 นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG เปิดเผยว่า งบการเงินรวมไตรมาส 2/64 มีรายได้จากการขาย 133,555 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% จากไตรมาส 2/63 สาเหตุหลักจากราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้นตามการปรับตัวของราคาน้ำมันโลก และเพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาส 1/64 มีกำไร 17,136 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83% จากไตรมาส 2/63 และเพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาส 1/64 จากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้น
สินค้า HVA ดันกำไรโต
สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรก 2564 SCG มีรายได้จากการขาย 255,621 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก 2563 มีกำไร 32,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 96% จากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น
โดยครึ่งปีแรก 2564 มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services-HVA) 86,861 ล้านบาท คิดเป็น 34% ของรายได้จากการขายรวม มีสัดส่วนการพัฒนาสินค้าใหม่ (New Products Development-NPD) และ Service Solution เช่น โซลูชั่นพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy Solution) โซลูชั่นบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ (Smart and Functional Solutions) คิดเป็น 15% และ 5% ตามลำดับ
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทยในครึ่งปีแรก 2564 ทั้งสิ้น 112,272 ล้านบาท คิดเป็น 44% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 30% ขณะที่สินทรัพย์รวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 มีมูลค่า 812,051 ล้านบาท โดย 39% เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน
3 ธุรกิจหลักค้ำยันรายได้
รายละเอียดแยกรายธุรกิจ ดังนี้ 1.ธุรกิจเคมิคอลส์ ในไตรมาส 2/64 มีรายได้จากการขาย 60,740 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75% จากไตรมาส 2/63 และเพิ่มขึ้น 18% จากไตรมาส 1/64 เนื่องจากราคาขายสินค้าที่เพิ่มขึ้น กำไร 10,392 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 128% จากไตรมาส 2/63 และเพิ่มขึ้น 18% จากไตรมาส 1/64
ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2564 มีรายได้จากการขาย 112,347 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% จากไตรมาส 2/63 เนื่องจากราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไร 19,221 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 203% จากไตรมาส 2/63
2.ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ไตรมาส 2/64 มีรายได้จากการขาย 46,416 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาส 2/63 และเพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาส 1/64 เนื่องจากยอดการส่งออกสินค้าไปยังตลาดอาเซียนและตลาดอื่น ๆ นอกอาเซียนเพิ่มขึ้น ประกอบกับความต้องการสินค้าผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเพิ่มขึ้นตามงานปรับปรุงและซ่อมแซมภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น มีกำไร 2,468 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากไตรมาส 2/63 เนื่องจากในไตรมาส 2/63 มีขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์เป็นจำนวน 699 ล้านบาท ในขณะที่ลดลง 12% จากไตรมาส 1/64
ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2564 มีรายได้จากการขาย 92,601 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาส 2/63 กำไร 5,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาส 2/63
3.ธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง ในไตรมาส 2/64 มีรายได้จากการขาย 29,895 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% จากไตรมาส 2/63 จากความต้องการซื้อสินค้าปรับเพิ่มสูงขึ้นในหลายประเทศ ในขณะที่ภาคการส่งออกของอาเซียนปรับตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวของภาคการบริโภคในประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป และจากการขยายธุรกิจทั้งแบบ M&P (SOVI และ Go-Pak) และการเติบโตจากภายในอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาส 1/64 โดยมีกำไรสำหรับงวด 2,263 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาส 2/63 และเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาส 1/64
ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2564 มีรายได้จากการขาย 57,148 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากไตรมาส 2/63 จากการขยายธุรกิจทั้งแบบ M&P (SOVI และ Go-Pak) และการเติบโตจากภายใน กำไร 4,398 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากไตรมาส 2/63
“ไข่แดง-ไข่ขาว” รับมือโควิด
นายรุ่งโรจน์ กล่าวต่อว่า สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกมีความไม่แน่นอนสูงมาก โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนที่เผชิญกับเชื้อกลายพันธุ์เดลต้า จนทำให้มีการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น หลายประเทศจึงบังคับใช้มาตรการคุมเข้มอีกครั้ง SCG จึงได้ยกระดับความเข้มข้นจากมาตรการ “ไข่แดง ไข่ขาว” ที่แยกพนักงานในสายการผลิตไม่ให้สัมผัสกับกลุ่มพนักงานทั่วไป โดยพนักงานสายการผลิตให้ใช้ชีวิตอยู่ที่โรงงานและโรงแรมที่บริษัทจัดให้
เพราะพนักงานเหล่านี้ทำหน้าที่ควบคุมระบบ หากใครป่วยก็จะมีผลกระทบต่อกระบวนการผลิต ซึ่งอาจทำให้ส่งงานได้ไม่ตรงตามแผนที่วางไว้ได้
และการทำ “Bubble & Seal” ในโรงงานทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการตรวจเชิงรุกอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมพื้นที่ที่มีความเสี่ยง พร้อมจัดที่พักให้ภายในโรงงาน ควบคู่กับแนะนำให้พนักงานที่มีอาการป่วยกักตัวที่บ้านตามคำแนะนำของแพทย์ (Home Isolation) เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19
ทั้งยังได้จัดเตรียมหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) สำหรับพนักงานที่ป่วย เพื่อให้เข้าถึงการรักษาที่ปลอดภัยอย่างรวดเร็วที่สุด จึงทำให้ SCG สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
เขย่าพอร์ตลงทุนต่างประเทศ
พร้อมกันนี้ได้ปรับแผนการดำเนินธุรกิจ ทั้งการปรับสัดส่วนการขาย กระจายสินค้าไปยังตลาดที่ได้รับผลกระทบน้อยทั้งในและต่างประเทศ และเน้นการขายผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งยังขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ (Merger & Partnership-M&P) รวมถึงการสร้างความร่วมมือใช้นวัตกรรมเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (High Quality Post-Consumer Recycled Resin-PCR) เปลี่ยนขวดบรรจุภัณฑ์พลาสติกใช้แล้วจากครัวเรือนหมุนเวียนกลับมาผลิตเป็นขวดบรรจุภัณฑ์ใหม่ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย นับเป็นการเร่งธุรกิจเข้าสู่เทรนด์เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่เติบโตสูง
พร้อมรุกเข้าสู่ธุรกิจระบบอัตโนมัติ (Automation System) เพื่อนำเสนอโซลูชั่นด้านออโตเมชั่นแก่ลูกค้า ซึ่งจะช่วยพัฒนาขีดความสามารถและยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่โรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory 4.0)
นอกจากนี้คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SCC ถือหุ้นทั้งหมดเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน PT. Chandra Asri Petrochemical Tbk (หรือ “CAP”) ประเทศอินโดนีเซีย 434 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือ 14,260 ล้านบาท) เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นใน CAP ที่ร้อยละ 30.57 โดยจะนำไปลงทุนในโครงการ Petrochemical Complex แห่งที่ 2 (CAP2) เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ เพื่อขยายธุรกิจปิโตรเคมีไปยังอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีตลาดสินค้าปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนและมีอัตราการเติบโตสูง
ขณะเดียวกัน SCG ห่วงใยสถานการณ์โควิดจึงเร่งช่วยเหลือคู่ค้า-คู่ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ด้วยการขยายเวลาการชำระเงิน, ให้คำปรึกษานำเทคโนโลยีดิจิทัลมาบริหารจัดการภายในโรงงาน เพื่อให้ธุรกิจดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง, ร่วมกับคู่ค้าจัดตั้งศูนย์พักคอยสำหรับแยก-กัก-รักษาผู้ป่วยโควิด-19, สนับสนุนเครื่องใช้อุปโภคบริโภคสำหรับช่างภายในแคมป์ก่อสร้างของคู่ค้า รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยนำสินค้ามาจำหน่ายที่ร้านเอสซีจี โฮม SCGHOME.com และช่องทางของพันธมิตร เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้และช่วยให้รักษาธุรกิจให้คงอยู่ต่อไปได้
SCG ได้เร่งพัฒนานวัตกรรมป้องกันโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่มีการแพร่ระบาดมากขึ้น เกิดวิกฤตขาดแคลนเตียงสนามและห้องไอซียูสำหรับผู้ป่วยหนัก SCG ได้มอบเตียงสนามกระดาษกว่า 60,000 เตียงทั้งในไทยและต่างประเทศ และมอบห้องไอซียูโมดูลาร์ 60 เตียง รวมทั้งห้องผู้ป่วยฉุกเฉินโมดูลาร์ขนาด 10 เตียง เพื่อปกป้องบุคลากรทางการแพทย์ บรรเทาความเดือดร้อนของผู้ป่วย
นอกจากนี้ ยังช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) และชุมชนกว่า 300 ราย ให้สร้างรายได้ พัฒนาอาชีพ แปรรูปสินค้า และเพิ่มช่องทางการขาย ผมขอเชิญชวนทุกท่านช่วยกันสนับสนุนสินค้า SMEs หากพวกเราช่วยเหลือกัน ก็จะนำพาประเทศรอดพ้นวิกฤตครั้งนี้ได้
ในช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจได้ยกระดับมาตรการ BCM ทั้งบริษัทในไทยและต่างประเทศให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ด้วยการบังคับใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งในกระบวนการจัดหาวัตถุดิบ กระบวนการผลิตและการขนส่ง รวมถึงการปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น ปรับปรุงแผนการผลิตและขนส่งสินค้า รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อสามารถส่งมอบบรรจุภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าได้ทันต่อความต้องการ
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2564 ในอัตรา 8.5 บาทต่อหุ้น เป็นเงิน 10,200 ล้านบาท กำหนดจ่ายเงินปันผลวันศุกร์27 สิงหาคม 2564 กำหนดผู้ที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล (XD) ในวันศุกร์ 13 สิงหาคม 2564 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันจันทร์ 16 สิงหาคม 2564