ประยุทธ์-ศักดิ์สยาม เปิดเดินรถไฟฟ้าสายสีแดง นั่งฟรีถึง พ.ย. 64

ประยุทธ์ จันทร์โอชา

รถไฟฟ้าสายสีแดงเปิดเดินรถ Soft Opening นั่งฟรีถึง พ.ย. นี้ นายกรัฐมนตรีโชว์ เป็นผลงานตามยุทธศาสตร์ชาติ คาดเก็บเงิน พ.ย.นี้ เริ่มต้น 12 – 42 บาท

วันที่ 2 สิงหาคม 2564 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ในพิธีเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง (Soft Opening) ผ่านระบบออนไลน์ มายังสถานีกลางบางซื่อ พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม รับหน้าที่ส่งประชาชนเที่ยวปฐมฤกษ์ ณ สถานีกลางบางซื่อ

โวพัฒนาระบบรางตามยุทธศาสตร์ชาติ

พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ระบบคมนาคมขนส่งทางราง” ที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งพัฒนาระบบคมนาคมทางรางอย่างต่อเนื่อง ทั้งรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล รถไฟทางคู่ทั่วประเทศ

รวมถึงโครงข่ายรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา และรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน เพื่อเชื่อมต่อทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เพิ่มประสิทธิภาพด้านการเดินทาง ขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสนใจ เร่งรัด และติดตามความก้าวหน้าของทุกโครงการมาโดยตลอด

สำหรับสถานีกลางบางซื่อ และโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง นอกจากจะเป็นทางเลือกให้ประชาชนสามารถเดินทางจากกรุงเทพฯ สู่ปริมณฑล และทั่วทุกภูมิภาคของประเทศได้โดยสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยแล้ว ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ ก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมโอกาสด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว รวมถึงสนับสนุนการขยายตัวของเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจตลอดแนวเส้นทาง

เคาะเปิดเต็มรูปแบบ พ.ย.นี้

ด้านนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกล่าวว่า กระทรวงคมนาคม ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนการลงทุนด้านการพัฒนาระบบขนส่งทางรางให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม สำหรับสถานีกลางบางซื่อเป็นโครงการก่อสร้างสถานีรถไฟหลักของประเทศไทย เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะเป็นสถานีรถไฟหลักแห่งใหม่ของประเทศไทยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ปี 2556 และแล้วเสร็จในปี 2564 โดยหลังจากเปิดให้ทดลองในวันนี้แล้ว คาดว่าจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในเดือนพฤศจิกายน 2564 นี้

เปิดไส้ใน “บางซื่อแกรนด์สเตชั่น”

สำหรับสถานีกลางบางซื่อ (Grand Station) มีพื้นที่ใช้สอยรวม 298,200 ตารางเมตร โดยภายในสถานี ประกอบด้วย อาคารทั้งหมด 3 ชั้น คือ ชั้นที่ 1 เป็นพื้นที่จำหน่ายตั๋วโดยสาร ร้านค้า ศูนย์อาหาร สำนักงาน พื้นที่พักคอย และจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน มีพื้นที่ใช้สอยรวม 87,200 ตารางเมตร ชั้นที่ 2 เป็นชั้นชานชาลา ประกอบด้วย รถไฟทางไกล 8 ชานชาลา และรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง 4 ชานชาลา

มีพื้นที่ใช้สอยรวม 58,900 ตารางเมตร และชั้นที่ 3 มีพื้นที่ใช้สอยรวม 58,900 ตารางเมตร เป็นชั้นชานชาลาสำหรับรถไฟเชื่อมท่าอากาศยาน และรถไฟความเร็วสูง เชื่อมต่อการเดินทางทางอากาศและทางราง โดยแบ่งเป็นชานชาลาสำหรับรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสนามบิน 2 ชานชาลา รถไฟฟ้าความเร็วสูงสายเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 6 ชานชาลา รถไฟฟ้าความเร็วสูงสายใต้ จำนวน 4 ชานชาลา รวมทั้งสิ้น 12 ชานชาลา

นอกจากนี้ ยังมีชั้นลอย เป็นพื้นที่ร้านค้าและห้องควบคุม พื้นที่ใช้สอยกว่า 20,700 ตารางเมตร และชั้นใต้ดินพื้นที่ใช้สอยกว่า 72,500 ตารางเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่จอดรถ ที่สามารถจอดรถยนต์ได้ถึง 1,681 คัน ที่จอดรถคนพิการ 19 คัน รวม 1,700 คัน และยังมีพื้นที่อื่น ๆ เช่น ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ขนาดพื้นที่ 18,630 ตารางเมตร พร้อมบึงน้ำขนาด 14,000 ตารางเมตร โดยเป็นลานน้ำพุประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย

นาฬิกา ร.9 แลนด์มาร์กสถานีกลาง

นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้ง “นาฬิกาประจำสถานี” ที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษ ให้บนหน้าปัดมีเลข “๙” เลขไทยเพียงเลขเดียว เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของสถานีกลางบางซื่อ และแสดงถึงการเดินทางที่เที่ยงตรง

ตัวเรือนนาฬิกามีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 เมตร ติดตั้งบนผนังกระจกของทางเข้าสถานีสูงจากระดับพื้นดิน 21 เมตร ผลิตโดย บริษัท Electric Time Company, Inc. สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทผลิตนาฬิกาที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงในการออกแบบและผลิตนาฬิกากลางแจ้งขนาดใหญ่ ทั้งเคยได้รับการว่าจ้างให้ผลิตนาฬิกาประดับสถานที่สำคัญต่าง ๆ อีกด้วย

สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดงที่เปิดให้บริการ ประกอบด้วย รถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ – รังสิต จำนวน 10 สถานี ได้แก่ สถานีกลางบางซื่อ  สถานีจตุจักร สถานีวัดเสมียนนารี สถานีบางเขน สถานีทุ่งสองห้อง สถานีหลักสี่ สถานีการเคหะ  สถานีดอนเมือง สถานีหลักหก และสถานีรังสิต ระยะทางรวม 26 กิโลเมตร และรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน จำนวน 3 สถานี ประกอบด้วย สถานีบางซ่อน สถานีบางบำหรุ และสถานีตลิ่งชัน ระยะทางรวม 15 กิโลเมตร

ส่วนขบวนรถไฟเป็นรถไฟฟ้าแบบ Electric Multiple Unit หรือ EMU ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยลดปัญหามลพิษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยใช้ระบบควบคุมการเดินรถและระบบให้บริการต่าง ๆ ตามมาตรฐานสากล มีความปลอดภัยและทันสมัยในทุกขบวน มีพื้นที่รองรับการให้บริการ และอำนวยความสะดวกกับผู้พิการตามหลักอารยสถาปัตย์ หรือ universals design

ด้านการเดินรถไฟ การรถไฟฯ มอบหมายให้ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของการรถไฟฯ ที่มีประสบการณ์ในการเดินรถไฟฟ้ามามากกว่า 10 ปี เป็นผู้ให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงรถไฟสายสีแดง

เปิด 06.00-20.00 ทุกวัน

โดยในช่วงการทดลองเปิดให้ใช้บริการจะเดินรถทุก 30 นาที ระหว่างเวลา 06.00 น. ถึง 20.00 น. และทุก ๆ 15 นาที ในช่วงเวลาเร่งด่วน รวมเส้นทางละ 78 เที่ยวต่อวัน รองรับผู้โดยสารในช่วงบางซื่อ-รังสิตได้ 1,710 คนต่อเที่ยว ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ได้ 1,120 คนต่อเที่ยว โดยการรถไฟฯ จะจำกัดจำนวนผู้โดยสารทุกประเภท ในขบวนรถและสถานีไม่เกินร้อยละ 50 เพื่อเป็นไปตามมาตรการรักษาระยะห่าง และป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19

นายศักดิ์สยาม กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดบูรณาการความร่วมมือ ดำเนินงานส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้สามารถเชื่อมโยงโครงข่ายการเดินทางในทุกรูปแบบการเชื่อมต่อสถานีกับระบบขนส่งมวลชนอื่น กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กรมการขนส่งทางราง (ขร.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ได้ร่วมกันปรับปรุงการเดินทางในทุกโหมดเพื่อรองรับการเชื่อมต่อสถานีรถไฟสายสีแดง

สารพัดจุดเชื่อมต่อการเดินทาง

ไม่ว่าจะเป็น การปรับเส้นทางรถโดยสารประจำทางรองรับการเชื่อมต่อสถานีรถไฟสายสีแดง การบริหารจัดระเบียบรถแท็กซี่ และรถโดยสารสาธารณะ การเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ได้แก่ สถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเชื่อมต่อที่สถานีกลางบางซื่อ รถไฟฟ้าสายสีม่วงเชื่อมต่อที่สถานีบางซ่อน สนามบินนานาชาติดอนเมืองเชื่อมต่อด้วยทางเดิน Skywalk ที่สถานีดอนเมือง และในอนาคตจะมี Skywalk  เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีชมพูและโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ที่สถานีหลักสี่ รวมถึง Skywalk เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลที่สถานีบางเขน

ปี’68 รถไฟความเร็วสูงมา

นอกจากนี้ ยังเป็นสถานีเปลี่ยนถ่ายรถไฟทางไกลของการรถไฟแห่งประเทศไทย รวมถึงเชื่อมต่อกับระบบรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพO-นครราชสีมา และระบบรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จเปิดให้บริการในปี 2568

ลุยเฟสต่อขยาย 4 เส้นทาง

การรถไฟฯ ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาส่วนต่อขยายไปยังสถานีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) สถานีศาลายา (มหาวิทยาลัยมหิดล) สถานีธนบุรี-ศิริราช สถานีหัวหมาก และสถานีหัวลำโพง และยังมีแผนการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ ทั้งในอาคารสถานีและพื้นที่รอบสถานีเพื่อให้มีการพัฒนาสถานี และพัฒนาเมืองในรูปแบบ Smart City ควบคู่ไปด้วย

ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ได้รับการสนับสนุนด้านเงินกู้จากองค์การ ความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) ซึ่งได้ให้ความช่วยเหลือประเทศไทยในการพัฒนาระบบรถไฟฟ้ามาแล้วหลายโครงการ นับเป็นความร่วมมือที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ค่าโดยสารเริ่มต้น 12 บาท

สำหรับการเปิดให้บริการรถไฟชานเมืองสายสีแดงครั้งนี้ จะช่วยแก้ไขปัญหาจราจรติดขัด และลดระยะเวลาในการเดินทางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยใช้เวลาเดินทางจากสถานีกลางบางซื่อถึงสถานีรังสิต เพียง 25 นาที และจากสถานีกลางบางซื่อถึงสถานีตลิ่งชัน เพียง 15 นาที เท่านั้น โดยการรถไฟฯ จะเปิดให้ประชาชนใช้บริการโดยไม่เก็บค่าโดยสารไปจนถึงปลายปี 2564

หลังจากนั้นจะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีที่สุดในอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมและเป็นธรรม โดยคิดค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 12 บาท และค่าโดยสารสูงสุด 42 บาท

ซึ่งการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดง และสถานีกลางบางซื่อในครั้งนี้ ถือเป็นปฐมบทของการพัฒนาระบบรางของประเทศไทย ที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำและจุดเชื่อมต่อการเดินทางที่สำคัญและทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งเสริมการเดินทางของผู้ใช้บริการ ช่วยเสริมขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างความสุขให้พี่น้องคนไทยตลอดไป