เปิดที่มาธรรมเนียมการฉลองอายุ-วันเฉลิมพระชนมพรรษาในประเทศไทย โดย “ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ” และ “รศ.ดร.ชัชพล ไชยพร” ในเสวนา “ฉลองราชย์ เฉลิมพระชนมวาร”
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2567 ที่ห้องสามศร 1 อาคารรำไพพรรณี ชั้น 6 พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2567 บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) จัดงานเสวนา “ฉลองราชย์ เฉลิมพระชนมวาร” ว่าด้วยเรื่องราวในประวัติศาสตร์หลากหลายด้านที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ไทย
โดย “ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ” อดีตปลัดสำนักนายกฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ตลอดจนพระราชพิธี และผู้เขียนคำนำหนังสือ “ธำรงรัฐกษัตรา: เบื้องหลังอำนาจประวัติศาสตร์ความมั่นคงไทย” พร้อมด้วย “รศ.ดร.ชัชพล ไชยพร” คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เสวนาในหัวข้อ “ธรรมเนียมการฉลองอายุ”
ปฏิทินและการฉลองวันเกิด
ศ. พิเศษ ธงทอง กล่าวว่า เรื่องการฉลองวันเกิดหรือฉลองอายุไม่ได้มีเริ่มต้นจากเมืองไทย แต่มีรากเหง้ามาจากที่อื่น การจะฉลองอายุได้นั้นต้องรู้วันเดือนปีเกิดเสียก่อน ดังนั้นจึงไปเกี่ยวข้องกับปฏิทินเพราะถ้าไม่รู้ปฏิทินก็จะนับวันเดือนปีไม่ได้ เรื่องนี้จึงต้องย้อนไปหลายพันปีก่อนที่เริ่มมีปฏิทินเกิดขึ้นบนโลก
เชื่อกันว่า “ชาวบาบิโลน” เป็นคนกลุ่มแรกที่คิดค้นปฏิทินซึ่งเชื่อมโยงกับดวงดาว ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ แม้ดวงอาทิตย์ใหญ่กว่าดวงจันทร์ แต่ปฏิทินจากดวงจันทร์ หรือ “จันทรคติ” นั้นเกิดก่อน เนื่องจากสามารถเห็นความเปลี่ยนแลงได้จากความเว้าแหว่ง จากนั้นจึงค่อยเกิดปฏิทิน “สุริยคติ” จากดวงอาทิตย์ ดังนั้นเมื่อมีปฏิทินก็จะรู้วันเกิด และมีการฉลองวันเกิดตามมา
เดิมทีการฉลองวันเกิดไม่ใช่สำหรับมนุษย์ แต่เป็นวันเกิดเทวดา ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกที่ “กรีก” คนที่นับถือเทวดาองค์นั้น ๆ เมื่อถึงเวลาก็ต้องฉลองวันเกิดให้เทวดาด้วย แต่นอกจากเทวดาแล้วยังมีคนในชีวิตจริงที่เคารพนับถือและต้องเอาใจ เช่น ผู้ปกครองในบ้านเมือง ธรรมเนียมการฉลองวันเกิดของมนุษย์จึงคลี่คลายมาจากการฉลองวันเกิดเทวดา และเชื่อว่าการฉลองวันเกิดมีขึ้นพร้อม ๆ กันกับ “เค้กวันเกิด” ด้วย
เนื่องจากแป้งและน้ำตาลเป็นของหายาก การนำไปผลิตเป็นเค้กต้องใช้วิทยาการหรือเทคโนโลยี และความสามารถทางปัญญาในระดับผู้ปกครอง ดังนั้น คนที่จะทำเค้กได้ต้องแสดงถึงอานุภาพอะไรบางอย่าง และความสำคัญของเจ้าของวันเกิดว่าไม่ใช่คนธรรมดา ก่อนที่ภายหลังจะคลี่คลายมาเป็นการฉลองวันเกิดของคนทั่วไป
สำหรับประเทศที่มีการฉลองวันเกิดทางตะวันออกเริ่มจากประเทศจีน ซึ่งปฏิทินจีนไม่เหมือนกับปฏิทินยุโรปโดยจีนไม่ได้มีรอบนักษัตรแค่ 12 ชื่อ แต่มีถึง 60 ชื่อ หรือ 60 ปี จีนจึงต้องเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่เมื่ออายุครบ 60 ปี หรือเรียกว่า “แซยิด”
สำหรับเมืองไทย แต่เดิมไม่มีการบอกว่าตนเองเกิดวันไหน ซึ่งอาจเป็นเพราะ 2 เหตุผล กล่าวคือ ไม่รู้ว่าเกิดวันไหน และหวงดวงชะตา ต้องเป็นความลับไว้ เดี๋ยวมีใครมาทำคุณไสย (ในหมู่ชนชั้นสูง) ส่วนชาวบ้านรู้เพียงแค่ว่าเกิดช่วงฤดูไหน ใช้อากาศ และฤดูกาลเป็นหลักการจำ
“การรู้วันเกิดที่แน่ชัดของชาวบ้านในอดีต ไม่รู้ว่าจะจำไปทำไม เพราะไม่มีผลทางกฎหมาย ไม่มีความจำเป็นต้องรู้ว่าบรรลุนิติภาวะหรือไม่ มีสิทธิ์เลือกตั้งเมื่อใด หรือไม่ไหร่จะแต่งงานได้”
การฉลองวันเกิดในไทยเริ่มสมัย ร.4
ศ. พิเศษ ธงทอง กล่าวว่า สำหรับประเพณีวันเกิดในไทยเริ่มต้นขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยผู้ที่ริเริ่ม คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงในขณะที่ทรงผนวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร หรือประมาณ 200 ปีมาแล้ว เนื่องจากรัชกาลที่ 4 ทรงพระปรีชาในด้านปฏิทินและทรงทราบวันพระบรมราชสมภพของพระองค์เอวในทั้งปฏิทินจันทรคติ และสุริยคติ
เวลานั้นมีเหตุการณ์น่าสนใจอย่างหนึ่ง แม้จะไม่ใช่เรื่องการฉลองวันเกิด นั่นคือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกุศลประจำปี “หล่อพระพุทธรูป” แม้จะไม่ได้เคร่งครัดว่าต้องทำวันใด แต่จะทำปีละครั้ง
ซึ่งตามธรรมเนียมราชสำนักแล้ว หลังจากหล่อพระเสร็จก็ต้องฉลองพระ โดยพระราชพิธีบำเพ็ญกุศลฉลองพระพุทธรูปไม่ใช่การเฉลิมพระชนมพรรษา แต่เป็นการฉลองพระประจำพระชนมพรรษา ซึ่งรัชาลที่ 3 ไม่ได้ทรงดำริว่าต้องเป็นวันพระบรมราชสมภพ
ทั้งนี้ รัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชดำริฉลองวันพระบรมราชสมภพขึ้นขณะทรงผนวชอยู่ที่วัดบวรฯ กล่าวคือ ทำเป็นการภายในที่พระตำหนักปั้นหยา มีเพียงการสวดมนต์ เลี้ยงพระ และบำเพ็ญพระราชกุศล เนื่องจากขณะนั้นทรงผนวชอยู่และไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน
โดยรัชกาลที่ 4 ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในวันพระบรมราชสมภพเป็นการภายในมาตลอดที่ทรงผนวช และเมื่อขึ้นครองราชย์พระมหากษัตริย์ จึงยกธรรมเนียมนี้เป็นงานพิธีของหลวง ดังนั้น การฉลองอายุหรือฉลองวันเกิดในเมืองไทยจึงเกิดขึ้นจากพระราชดำริของรัชกาลที่ 4 และเริ่มจากราชสำนักก่อน ตามด้วยบรรดาเจ้านาย-ขุนนาง ก็ทำตามแนวทางนี้
ในภายหลัง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้พระราชนิพนธ์ไว้ในหนังสือ “พระราชพิธี 12 เดือน” ว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงทำเรื่องการฉลองวันพระบรมราชสมภพเป็นพระราชดำริโดยพระองค์เอง ไม่ได้เลียนแบบใคร และทรงพระดำริว่าชีวิตคนราที่ล่วงไปปีหนึ่ง ๆ ไม่ตายเสียก่อน เป็นเรื่องที่ควรยินดี และยินดีโดยการตั้งอยู่บนความไม่ประมาท ควรบำเพ็ญกุศล ทำความดีความชอบทั้งหลาย
นอกจากนี้ สมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อคราวเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 60 พรรษา มีการออกประกาศ ว่าเหล่าข้าราชการ ทูตานุทูตทั้งหลายจะประดับประทีปโคมไฟ โดยพระองค์ท่านไม่ขัดข้อง แต่บอกว่าอย่าไปกะเกณฑ์ ใครไม่มีปัญญาทำก็ไม่ว่า ถือเป็นร่องรอยที่บอกให้รู้ว่าเริ่มมีการประดับประทีบโคมไฟ
รศ.ดร.ชัชพล เสริมว่า ในสมัยรัชกาลที่ 4 ขุนนางแก้วคือสกุล “บุนนาค” ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) มีอายุ 50 ปี ซึ่งถือว่าเยอะมากในสมัยนั้น หรือว่ากึ่งศตวรรษ
สมเด็จเจ้าพระยาฯ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทน เมื่ออายุ 50 ปี จึงมีดำริที่จะฉลองวันเกิด ในพระราชนิพนธ์หนังสือ พระราชพิธี 12 เดือน ของรัชกาลที่ 5 ระบุไว้ว่า คนที่ริเริ่มทำให้วันเกิดของหลวงเอิกเกริกเป็นการเฉลิมฉลองขึ้นมาคือพวก “จีนประจบ” ที่ต้องการประจบสมเด็จเจ้าพระยาฯ ซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจในเวลานั้น โดยนำข้าวของจัดงานเลี้ยงกันใหญ่โต มีงานสมโภช งานวันเกิด ไม่ใช่แค่เพียงการทำบุญแล้ว ซึ่งพระราชนิพนธ์ระบุด้วยซ้ำว่างานของหลวงยังกร่อยกว่า
ที่มาว่าวันเกิดบวกกับการเฉลิมฉลองเกิดจากคติของสมเด็จเจ้าพระยาฯ มีทั้งมหรสพ มีการกินเลี้ยง มีงานทำบุญ มีการปล่อยสัตว์ อย่างพระเจ้าแผ่นดินที่เห็นในทุกวันนี้ รศ.ดร.ชัชพล กล่าว
ทั้งนี้ ศ. พิเศษ ธงทอง กล่าวว่า สมเด็จเจ้าพระยาฯ แทบจะเป็นการตั้งแบบแผนเลยก็ว่าได้ ว่างานวันเกิดฉลองกันอย่างไร แม้พระราชขดำริตั้งต้นเป็นของรชกาลที่ 4 แต่ในรายละเอียดที่ขยายเพิ่มเติมที่เป็นการฉลองขนาดใหญ่นั้นสมเด็จเจ้าพระยาฯ เป็นผู้นำ
สำหรับวันเฉลิมพระชนมพรรษา รัชกาลที่ 5 คือวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2396 ก็ค่อย ๆ เติมรายละเอียดต่าง ๆ เข้าไป จากที่รัชกาลที่ 4 ทรงตั้งต้นไว้นั่นคือการบำเพ็ญพระราชกุศล ซึ่งเป็นข้อขัดข้องมากในคราวเสด็จประพาสยุโรปทั้ง 2 ครั้ง ซึ่งใช้เวลาหลายเดือน กล่าวคือ มี 2 ครั้ง ใน พ.ศ.2440 และพ.ศ.2450 ที่รัชกาลที่ 5 อยู่ยุโรปในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ซึ่งมีการอัญเชิญพระพุทธรูปไปในการเสด็จด้วย ทรงตั้งเป็นพระประธานในพิธี บูชาสักการะ และสวดมนต์โดยพระองค์เอง เป็นบำเพ็ญบุญกุศลอย่างหนึ่ง ใช้ใจเป็นสมาธิ รำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ในข้อจำกัดที่ทรงอยู่ต่างประเทศ และทรงสรงน้ำพระ
เสด็จออกมหาสมาคม – น้ำพระพุทธมนต์
ศ. พิเศษ ธงทอง กล่าวว่า สำหรับพระราชดำรัสในการเสด็จออกมหาสมาคม มีพัฒนาการและมีเรื่องราวมาพอสมควร ในอดีตบางครั้ง สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงแถลงนโยบายประจำปี ตามแบบสหราชอาณาจักร ว่าปีที่ผ่านมารัฐบาลทำอะไรแล้วบ้าง และในปีนี้มีพระราชดำริจะทำอะไร
ดังนั้น การที่จะมีกระแสรับสั่งนโยบายรัฐบาลจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ในสมัยรัชกาลที่ 9 เองก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องร่างถวาย ก่อนจะเพิ่งมาเปลี่ยนแนวทางในภายหลังเมื่อปี 2501 กล่าวคือ พระราชดำรัสในวันออกมหาสมาคมจะไม่พูดเรื่องรัฐบาล แต่จะเป็นพระราชดำรัสในเชิงพระบรมราชาโชวาท
สำหรับสถานที่ในการเสด็จออกมหาสมาคม มีหลักคือพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ที่ใดก็ใช้ที่นั่น โดยปกติแล้วก็จะออกมหาสมาคมที่ท้องพระโรง พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ภายหลังแม้ไม่ได้ประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ไปประทับที่อื่น เช่น รัชกาลที่ 9 ทรงประทับอยู่ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ก็เสด็จออกมหาสมาคม ณ ที่นั้น
แต่ปีใดที่มีการเฉลิมฉลองพิเศษพระชนมายุครบรอบปีนักษัตร จะต้องหาสถานที่ที่เหมาะสม เช่น คราวเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 6 พรรษา พ.ศ. 2530 มีการปลูกพระที่นั่งชัยมังคลาภิเษกขึ้นมาชั่วคราว เพื่อออกมหาสมาคมที่ท้องสนามหลวง เนื่องจากมีผู้คนไปร่วมงานจำนวนมาก
น้ำพระพุทธมนต์
ศ. พิเศษ ธงทอง กล่าวว่า คติของไทยอีกเรื่องหนึ่งคือการรดน้ำผู้ใหญ่ ไม่ใช่การรดน้ำเพื่ออำนวยพรแต่เพื่อขอพร สังเกตได้จากการรดน้ำขอพรตามธรรมเนียมไทยผู้ใหญ่ต้องอายุ 60 ปีขึ้นไป
สำหรับพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาใน พ.ศ. 2530 นอกจากพิธีการปกติแล้ว ให้มีการถวายน้ำพระพุทธมนต์ที่ตักจากจังหวัดทั้งหลายและทรงรับด้วยพระครอบเป็นครั้งแรก
รศ.ดร.ชัชพล เสริมว่า การที่ทรงรับพระพุทธมนต์ด้วยพระครอบ เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงราชประเพณีและธรรมเนียมราษฎรที่แสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่อายุ 60 ปี เปรียบเสมือนการให้ประชาชนทั้งประเทศรดน้ำพระองค์ท่าน นับเป็นวิวัฒนาการทางราชประเพณีในสมัยรัชกาลที่ 9
ศ. พิเศษ ธงทอง กล่าวอีกว่า เมื่อ พ.ศ. 2554 รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระชนมพรรษา ครบ 84 ปี หรือครบ 7 รอบ ก็มีการเสกน้ำที่วัดพระเชตุพนฯ และเมื่อถึงวันพระราชพิธีออกมหาสมาคม ผู้ที่จะทูลเกล้าฯ ถวายน้ำพระพุทธมนต์ คือประมุข 3 ฝ่ายในอำนาจอธิปไตยทั้งหลาย ได้แก่ ประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี และประธานศาลฎีกา