บริบทใหม่ KTC พัฒนาคน-เทคโนโลยี นำองค์กรยั่งยืน

พิทยา วรปัญญาสกุล
พิทยา วรปัญญาสกุล

เดือนมกราคม 2567 เป็นการเดินทางครั้งสำคัญของเคทีซี เพราะต่อจากนี้การบริหารงานจะนำทีมโดย “พิทยา วรปัญญาสกุล” ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมกับทีมผู้บริหารรุ่นใหม่ ที่มีความสามารถมากมายในสายงานต่าง ๆ

“พิทยา” กล่าวว่า ทิศทางเคทีซีในปี 2567 จะสานต่อวิสัยทัศน์ และความสำเร็จที่ผ่านมา โดยจะทำธุรกิจให้มีผลกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุก ๆ ปี ควบคู่กับการทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ โปร่งใส มีธรรมาภิบาล และสานต่อค่านิยมองค์กร (core value) ได้แก่ 1.กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง 2.ทำให้ง่าย ไม่ซับซ้อน และ 3.ทำสิ่งที่มีความหมายและเป็นประโยชน์

สำหรับผู้บริหารรุ่นใหม่ประกอบด้วย “ประณยา นิถานานนท์” ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดบัตรเครดิต “พิชามน จิตรเป็นธรรม” ผู้บริหารสูงสุดสายงานสินเชื่อบุคคล “เรือนแก้ว เกษมสวัสดิ์” ผู้บริหารสูงสุดสายงานสินเชื่อยานยนต์ และ “อุษณีย์ เลาหะวรนันท์” ผู้บริหารสูงสุดสายงานสื่อสารการตลาดและธุรกิจ MAAI

“ทุก ๆ คนทำงานกับเคทีซีมานาน ดิฉันเชื่อว่าทุกคนต่างมีความเข้าใจ และมีดีเอ็นเอของเคทีซีอย่างเต็มเปี่ยม เพราะเราเคี่ยวเข็ญกันมา และเลือกเฟ้นกันนานมากในการสรรหาผู้บริหารหรือผู้นำ ซึ่งคุณระเฑียร (ระเฑียร ศรีมงคล) บอกเสมอว่า เวลาจะเลือกใครขึ้นมาเป็นผู้นำ ต้องไม่มองแค่ความเก่งอย่างเดียว แต่ต้องมองเรื่องของประสบการณ์ ความสามารถในการทำงานกับเคทีซีได้ หรือเข้าใจในดีเอ็นเอของเรานั่นเอง ที่สำคัญ ต้องมีความเชื่อมั่นในวัฒนธรรมองค์กร และมีเป้าหมายเดียวกัน”

“ดิฉันเชื่อว่าพวกเราทุกคนพร้อมจะแสดงฝีมือกันในปีหน้า หรือปี 2567 เพื่อจะสานต่อเรื่องราวดี ๆ ซึ่งคุณระเฑียรวางรากฐานไว้แข็งแรงมาก และสอนสิ่งดี ๆ ต่อพวกเราเยอะมาก คิดว่าปีหน้าทุกคนเต็มที่แน่นอน ส่วนผู้บริหารหลายคนที่ขยายเวลาเกษียณมา 2-3 ปี ก็เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า

ถ้าจะมอบเคทีซีให้ใครดูแลต่อ ต้องสบายใจ เพราะต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้วย ดังนั้นจึงเชื่อว่าวันนี้ทุกคนมีความพร้อม เรื่องดี ๆ ที่คุณระเฑียร และผู้บริหารรุ่นเดิมทำไว้ และรับปากว่าจะทำต่อไป”

“ดิฉันคิดว่าประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญส่วนตัวในฐานะผู้ทำการตลาดจะนำพาธุรกิจบัตรเครดิตของเคทีซีเติบโตยิ่งขึ้น และจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อไป เพราะตลอดหลายเดือนผ่านมาตั้งแต่เริ่มรู้ว่าตัวเองได้รับตำแหน่ง

สิ่งที่ทำคือ ทำงานใกล้ชิดคุณระเฑียรมากขึ้น ดูสิ่งที่คุณระเฑียรทำ ลงรายละเอียดมาก การรีวิว การเข้าใจปฏิบัติการทั้งบริษัท เป็นเรื่องที่คุณระเฑียรลงมือจริง ๆ และย้ำเสมอว่า ในการทำธุรกิจเราไม่เล่นเรื่องความหวือหวา แต่เราเน้นเรื่องความจริงจัง เน้นความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ”

ปี 2567 ปีแห่งความท้าทาย

“พิทยา” กล่าวต่อว่า ในปี 2567 เป็นปีแห่งความท้าทาย เพราะต้องเจอกับความไม่แน่นอนหลายด้าน เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งระหว่างประเทศต่าง ๆ หรือแม้แต่เศรษฐกิจในประเทศไทยเองก็มีการแข่งขัน กฎระเบียบข้อบังคับก็มากขึ้น ซึ่งทุกอย่างเป็นเรื่องปกติที่ธุรกิจต้องเจอ

เคทีซีเจอความไม่แน่นอนทุก ๆ ปี แต่เราก็ผ่านมาได้ ดิฉันมองว่าเป็นเรื่องที่เราต้องปรับตัว และเตรียมพร้อม เคทีซีจะได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างหนึ่งคือเรื่องคน เพราะคนเราแข็งแรงมาก เพราะเราให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนมาตลอด จนกลายเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้

“ดังนั้นการจะนำพาธุรกิจเคทีซีเดินหน้าต่อไปนั้นตั้งอยู่บน 3 องค์ประกอบ คือ 1.คน 2.กระบวนการ 3.เทคโนโลยี สำหรับคนคือบุคลากรของเราต้องมีทั้ง hard skill และ soft skill ซึ่ง soft skill สำคัญมาก เป็นทักษะด้านสังคมที่ช่วยให้เขาปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ดิฉันทำงานกับเคทีซีมามากกว่า 26 ปี

ดิฉันคิดว่าค่อย ๆ โต และค่อย ๆ เข้าใจ ตลอดระยะเวลา 12 ปี ที่คุณระเฑียรอยู่ เขาพยายามสอนให้เราเรียนรู้ และค่อยพัฒนา จนเรามีแรงกระตุ้นในตัวตลอดเวลา ว่าเราจำเป็นจะต้องเรียนรู้ จนกลายเป็นสายเลือด”

ที่สำคัญ เคทีซีเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เมื่อเรียนรู้แล้วต้องต่อยอดให้น้อง ๆ เพื่อน ๆ รับฟังด้วย เป็นองค์กรที่ตื่นตัวเรื่องการหาความรู้ใหม่ ๆ ตลอดเวลา และนำความรู้เหล่านั้นมาปรับใช้กับงานของตัวเอง ดังนั้นปีหน้าเราจะร่วมกันพัฒนาทีมผู้บริหารทีมใหม่ ซึ่งในออฟฟิศยังมีผู้บริหารที่เป็นผู้นำรุ่นใหม่อีกเยอะ

คิดว่าปีหน้าคงเป็นปีที่เราพยายามจะพัฒนา สนับสนุนเขาเติบโตอย่างแข็งแรงมากขึ้น พวกเขาจะเป็นคนนำพาเคทีซีให้เติบโตต่อไปแต่ไม่ใช่ผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น ผู้บริหารระดับกลางจะคอยเชื่อมผู้บริหารระดับสูงกับพนักงาน

ถามว่า ตรงนี้สำคัญอย่างไร ?

“คุณระเฑียร” สอนพวกเราเสมอว่า ภูเขาน้ำแข็ง เวลามันจะละลาย จะละลายจากขอบนอก พนักงานของเราเจอคนข้างนอกเขาจะมีเซนส์ และรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น เรามองอีกมุมหนึ่ง และเขามองอีกมุมหนึ่ง ถ้ามีการถ่ายทอด หรือสื่อสารให้ผู้บริหารทราบ มีการแลกเปลี่ยนกัน

ส่วนเรื่องการสื่อสารต้องให้คนในองค์กรรับรู้อย่างทั่วถึง ดังนั้นการที่เราจะสร้างความแข็งแรงให้กับ top management และ leader management จึงเป็นเรื่องสำคัญในปีหน้า

สำหรับกระบวนการจะให้ความสำคัญกับการออกแบบ และปรับกระบวนการทำงานให้กระชับรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุน โดยยึดสมาชิกเป็นศูนย์กลาง มีความเข้าใจความต้องการของสมาชิก และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพื่อทำการตลาด พร้อมทั้งปรับปรุงผลิตภัณฑ์ และบริการของเคทีซี

ส่วนเรื่องของเทคโนโลยี ทุกวันนี้เคทีซีใช้งานคลาวด์ (cloud computing) ในโครงสร้างระบบทางด้านไอที รวมถึงการประมวลผล และจัดเก็บข้อมูล ต่อจากนี้เรื่องความปลอดภัยของข้อมูลจะมีความสำคัญมากขึ้น ดังนั้นการใช้คลาวด์เข้ามาเพื่อช่วยในการทำงาน จะก่อให้เกิดผลดีแน่นอน ในการที่เราจะสามารถยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ต่าง ๆ รวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้นด้วย

ขณะที่เทรนด์ปีหน้าเป็นเรื่องของ generative AI ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเรื่องที่เราต้องเริ่มเข้าใจและศึกษา เพราะที่ผ่านมาเคทีซีมีการใช้เอไอ แต่เป็น supervice AI ยังใช้คนเข้าไปจัดการข้อมูลระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้มีการพัฒนาเรื่อง contact center ในแผนกที่เกี่ยวกับความเสี่ยงและการติดตามทุจริตด้านไซเบอร์

อย่างไรก็ตาม สำหรับเป้าหมายธุรกิจ ธุรกิจสินเชื่อของเรา 3 ตัว ได้แก่ ธุรกิจบัตรเครดิต, บัตรกดเงินสด เคทีซี พราว, ธุรกิจสินเชื่อเคทีซี พี่เบิ้ม เรามีความเชื่อมั่นว่ามีศักยภาพที่จะเติบโตได้ โดยการขยายฐานสมาชิก สร้างพอร์ตที่มีคุณภาพ

โดยเฉพาะในธุรกิจบัตรเครดิต ซึ่งเป็นธุรกิจหลักเรามีการเติบโตที่ดีมาตลอดปี 2566 ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะยังขยายฐานลูกค้าต่อไปได้อีก จึงตั้งเป้าว่าจะมีสมาชิกบัตรใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 230,000 ใบ และมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเติบโต 15% จากปี 2566

โดยกลยุทธ์ที่นำมาใช้ในปี 2567 จึงเป็นปีที่เคทีซีให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยมากขึ้นในทุกขั้นตอนการใช้งานบัตร ตรงนี้เราจะพัฒนาแอป KTC Mobile อยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็มีการต่อยอดบัตรเครดิตที่เรียกว่า “เคทีซี ดิจิทัล” (KTC DIGITAL CREDIT CARD) เพื่อตอบโจทย์คนที่ใช้งานผ่านออนไลน์ คือเป็นบัตรเครดิตที่ปลอดภัย ไร้กังวลจากการขโมยข้อมูลด้วยบัตรพลาสติกไร้หมายเลขบนบัตร (Numberless Card)

โดยมี 3 จุดเด่นคือ ปลอดภัยกว่ากับการใช้จ่ายออนไลน์ เพราะปกติเวลาจะใช้จ่ายอะไรจะมีเลขหลังบัตรที่เรียกว่า CVV แต่พอเป็นตัวนี้เลขหลังบัตรจะเปลี่ยนทุกครั้งด้วยระบบรีเควสต์ และใช้ได้ภายใน 24 ชั่วโมง พร้อมควบคุมการใช้งานได้ตามต้องการผ่านแอปพลิเคชั่น “KTC Mobile”

“ผู้ถือบัตรสามารถทำรายการขอบัตรพลาสติกได้ด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชั่น KTC Mobile หลังจากมีการเปิดบัตรอย่างเป็นทางการในช่วงเดือน พ.ย.นี้ โดยสิ้นปีน่าจะมีผู้ใช้ 5 หมื่นใบ และภายในปี 2567 น่าจะมากกว่า 1 แสนใบ โดยเราต้องการเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะมียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 1.2 หมื่นบาทต่อบัตรต่อคน”

ส่วนธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลยังเป็นธุรกิจที่เราเน้นการเติบโตทางธุรกิจควบคู่ไปกับการบริหารพอร์ตสินเชื่อคุณภาพ โดยในปี 2567 ตั้งเป้าเติบโต 5% จำนวนสมาชิกบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” เพิ่มขึ้น 100,000 ราย ส่วนธุรกิจสินเชื่อเคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน ยังคงเน้นการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ายอดอนุมัติสินเชื่อใหม่ปี 2567 ที่ 6,000 ล้านบาท

สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นจริงในปี 2567 ต่อจากนี้ไป