ศบค.แจงผู้เสียชีวิตวันนี้ 7 ราย ฉีดแอสตร้าเซนเนก้าแล้ว 1 เข็ม

ฉีดแอสตร้าเข็มแรก ตาย 7
REUTERS/Dado Ruvic/Illustratio

เปิดข้อมูล 81 ผู้เสียชีวิตจากโควิด ประจำวันที่ 19 ก.ค. 64 พบ 7 ราย ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าแล้ว 1 เข็ม 

วันที่ 19 กรกฎาคม 2564 เพจเฟซบุ๊ก ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานข้อมูลผู้ป่วยโควิด-19 ของประเทศไทยในวันนี้ จำนวน 81 ราย พบว่า กรุงเทพมหานครมีผู้เสียชีวิตมากที่สุด 26 ราย รองลงมาคือปริมณฑล รวม 11 ราย ได้แก่ ปทุมธานี 9 ราย สมุทรปราการ 1 ราย และ นครปฐม 1 ราย

เช่นเดียวกับภาคใต้ ที่มีผู้เสียชีวิตรวม 11 ราย ได้แก่ ปัตตานี 5 ราย นราธิวาส 2 ราย สงขลา 1 ราย ระนอง 2 ราย และสุราษฎร์ธานี 1 ราย, ภาคตะวันออก 13 ราย ได้แก่ เพชรบุรี 4 ราย สุพรรณบุรี 2 ราย ฉะเชิงเทรา 2 ราย ระยอง 2 ราย ชลบุรี 1 ราย ปราจีนบุรี 1 ราย และอ่างทอง 1 ราย

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 14 ราย ได้แก่ นครราชสีมา 4 ราย ร้อยเอ็ด 3 ราย ศรีสะเกษ 3 ราย อุดรธานี 2 ราย บุรีรัมย์ 1 ราย และ ยโสธร 1 ราย, ภาคเหนือ 6 ราย ได้แก่ นครสวรรค์ 2 ราย แพร่ 1 ราย กำแพงเพชร 1 ราย สุโขทัย 1 ราย และเชียงราย 1 ราย

โรคประจำตัว/ปัจจัยเสี่ยงต่อความรุนแรงของโรค ได้แก่ ความดันโลหิตสูง 38 ราย, เบาหวาน 37 ราย, อ้วน 5 ราย, ไขมันในเลือดสูง 17 ราย, โรคไต 13 ราย, โรคหัวใจ 6 ราย, หลอดเลือดสมอง 3 ราย, โรคปอด 3 ราย และไม่มีโรคประจำตัว 11 ราย

 

นอกจากนี้ยังระบุว่า ผู้เสียชีวิตเป็นชาย 50 ราย หญิง 31 ราย ค่าของของอายุ 64 ปี (29-100 ปี) โดยเป็นผู้ที่ได้ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 1 เข็ม 7 ราย และไม่ระบุชนิด 1 เข็ม 1 ราย

หลังจากเพจศูนย์ข้อมูล COVID-19 เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว มีผู้ใช้เฟซบุ๊กเรียกร้องให้เปิดเผยรายละเอียดผู้เสียชีวิตทั้ง 7 ราย ที่ได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าแล้ว 1 เข็ม สำหรับผู้ที่ต้องการข้อมูลแบบเข้มข้น

ผลวิจัยเรื่องภูมิคุ้มกันของแอสตร้าเซนเนก้า

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มีการเผยแพร่ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดฉบับก่อนตีพิมพ์ในวารสารเดอะ แลนเซต ระบุว่า การเว้นระยะในการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าโดสแรกและโดสที่สองห่างกันนาน 45 สัปดาห์ มีผลกระตุ้นให้ระดับแอนติบอดีในร่างกายเพิ่มขึ้นถึง 18 เท่า

เมื่อมีการอ่านค่าแอนติบอดี 28 วันภายหลังการฉีดวัคซีนโดสที่สอง พบว่าระดับแอนติบอดีจากการเว้นระยะระหว่างวัคซีนโดสแรกและโดสที่สองนาน 45 สัปดาห์ มีสูงกว่าระดับแอนติบอดีจากการเว้นระยะห่างระหว่างโดส 12 สัปดาห์ ถึง 4 เท่า บ่งชี้ว่าการเว้นระยะห่างระหว่างโดสที่นานขึ้นไม่ก่อให้เกิดผลเชิงลบ แต่ช่วยกระตุ้นระดับภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้นได้