พาตะลุยเกาหลี! ชมวิวเมืองที่ใหม่-ร่วมพิธีชงชา เที่ยวโซลในแบบที่ทัวร์ไม่เคยพาคุณไป!

รายงานโดย กนกวรรณ มากเมฆ / ประชาชาติธุรกิจออนไลน์-Spinoff

 

พูดถึงประเทศที่ฮอตฮิตที่คนไทยไปเที่ยวต้องมี “เกาหลีใต้” ติดโผมาด้วยแน่นอน ด้วยกระแสของซีรีส์, เคป๊อป, ตั๋วเครื่องบินราคาโลว์คอสต์, แพคเกจทัวร์ราคาแสนถูก และการที่ไม่ต้องใช้ “วีซ่า” สามารถถือพาสปอร์ตอยู่ในเกาหลีได้ถึง 90 วัน ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ชาวไทยไปเยือนแดนกิมจิกันปีละหลายแสนคน

สถานที่ท่องเที่ยวในเกาหลีที่ฮิต สำหรับชาวไทย ไม่ว่าจะเป็น พระราชวังเคียงบก, คลองชองเกชอน, ทงแดมุน, เมียงดง, ฮงแด, เกาะนามิ, นัมซาน ทาวเวอร์, สวนสนุกเอเวอร์แลนด์ เป็นต้น แต่ที่จริงเกาหลีใต้ ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกมากมาย

“ประชาชาติธุรกิจออนไลน์” ขอพาฉีกภาพจำเที่ยวเกาหลีใต้ในแบบเดิม สู่การเที่ยวเกาหลีใต้มุมใหม่ในสถานที่เที่ยวที่หลายคนอาจยังไม่เคยแม้แต่ได้ยินชื่อ

โดยความพิเศษของการพาท่องเกาหลีใต้มุมใหม่ครั้งนี้ เกิดขึ้นในโอกาสที่ “บริษัท เจอร์นี่ แลนด์ จำกัด” บริษัททัวร์ไทยที่ทำทัวร์ไปเกาหลีเป็นพิเศษ ทำเอ็มโอยู (MOU) กับการท่องเที่ยวกรุงโซล (Seoul Tourism Organization) ในด้านความร่วมมือในการพัฒนาการท่องเที่ยวเกาหลี ร่วมกับบริษัททัวร์จากประเทศต่างๆ ในเอเชียอีก 8 ประเทศ ซึ่งในครั้งนี้ยังไปร่วมพิธีเปิดสถานที่ท่องเที่ยวที่ถือเป็นแลนด์มาร์คใหม่ใจกลางกรุงโซลอย่าง “Seoullo 7017” ด้วย (อ่านข่าว เปิดแล้วจ้า! “Seoullo 7017” แลนด์มาร์คใหม่เกาหลีใต้ ทางเดินลอยฟ้ากลางกรุงโซล ได้ที่นี่)

เริ่มต้นการเดินทางที่สนามบินสุวรรณภูมิ เราเดินทางออกจากไทยราว 23.30 น. ใช้เวลาเดินทางไปเกาหลีใต้ราว 5 ชั่วโมง

ถึงเกาหลี ปรับนาฬิกาให้ตรงกับเวลาท้องถิ่นของเกาหลีที่เร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง ตอนที่ไปถึงสนามบินอินชอนนั้นหากเป็นเวลาเกาหลีก็ราวตีสี่ครึ่งหรือตีห้าได้ เดินออกจากเครื่องบินก็สว่างจ้าแล้ว ด้วยภูมิศาสตร์ของประเทศที่ตั้งอยู่ในเขตอบอุ่น ช่วงที่เราไปเป็นช่วงกลางเดือนพฤษภาคม เป็นฤดูใบไม้ผลิที่อากาศเย็นสบาย ตอนเช้าสว่างเร็ว ตอนกลางคืนก็มืดช้า

ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองอย่างง่ายดาย และ ตม.เกาหลีก็ไม่ได้โหดอย่างที่ใครๆ ว่า เรารับกระเป๋าเสร็จและไปขึ้นรถตู้ที่จะมารับคณะเราบริเวณจุดรับผู้โดยสาร ออกมาจากสนามบินปุ๊บเรียกได้ว่าความเย็นกระแทกหน้าเข้าอย่างจัง อากาศเย็นกำลังสบายก็จริงอยู่ แต่ความแรงของลมนี่เรียกได้ว่าไม่ปรานี ทำให้ทวีความเย็นของอากาศเข้าไปอีกสำหรับคนขี้หนาวอย่างผู้เขียน

เช้าๆ แบบนี้คณะของเราเริ่มต้นการเดินทางในแดนโสมด้วยการไปสูดอากาศยามเช้าพร้อมชมวิวเมืองกันที่ Bugak Skyway Palgakjeong Pavilion จุดชมวิวอันแสนเงียบสงบที่สามารถมาเยี่ยมได้ทั้งช่วงเช้าและช่วงเย็นในทุกๆ ฤดูกาล โดยศาลาดังกล่าวตั้งอยู่บนภูเขา Bugak ที่ระดับความสูง 345 เมตร และออกแบบมาในลักษณะของสถาปัตยกรรมเกาหลีโบราณ

นอกจากคณะของเราที่ขึ้นมาสูดอากาศยามเช้าบนยอดเขานี้แล้ว สองข้างทางขึ้นเขา เราพบชาวเกาหลีใต้หลายช่วงวัยเดินออกกำลังกายขึ้นมาด้านบนด้วย เนื่องจากการเดินขึ้นเขานั้นเป็นกิจกรรมที่ชาวเกาหลีนิยมกันเลยก็ว่าได้ ส่วนใหญ่จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้ากันหนาวกันลมสีสันสดใส

บรรยากาศที่ศาลา Bugak ในตอนเช้าเงียบสงบมาก นอกจากอาจุมม่า 2-3 คนบนนี้ ก็เห็นจะมีแต่คณะของเราเท่านั้น เราชมวิวกรุงโซลทั้งฝั่งที่เป็นชุมชนที่อยู่อาศัยที่มีภูเขาเป็นแบ๊คกราวด์สวยงาม ขณะที่อีกด้านก็เป็นตัวเมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงใหญ่ มีกำแพงเมืองโบราณกรุงโซลให้เห็นด้านข้างสายตา ช่างเป็นบรรยากาศที่เหมาะแก่การมาพักผ่อนสูดอากาศหายใจในยามเหนื่อยล้า หรือมาตอนเย็นๆ ปิคนิกกับครอบครัวก็คงอบอุ่นดี หรือใครจะมากับแฟน ที่นี่ก็ให้บรรยากาศโรแมนติกใช่เล่นเลยทีเดียว

สูดอากาศยามเช้าพร้อมกินข้าวห่อสาหร่ายเป็นมื้อเช้าไปพลางๆ จุดหมายต่อไปของเราคือ “วัดจินกวานซา” (Jinkwansa) 1 ใน 4 วัดสำคัญประจำกรุงโซล ซึ่งมีประวัติศาสตร์ที่สำคัญและยาวนาน โดยตั้งอยู่ในแถบตะวันตกของกรุงโซล สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1010 โดยกษัตริย์ฮยอนจอง กษัตริย์พระองค์ที่ 8 ในราชวงศ์โครยอ เพื่ออุทิศให้กับพระอุปัชฌาย์ชื่อจินกวาน ต่อมาในสมัยราชวงศ์โชซ็อน กษัตริย์เซจงได้สร้างห้องสมุดขงจื๊อไว้แต่ถูกทำลายลงในช่วงสงครามเกาหลี ต่อมาได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่เป็นอาคารปัจจุบัน

สำหรับปัจจุบันวัดจินกวานซาได้รับการสนับสนุนให้เป็นการท่องเที่ยวแบบ Templestay จากการท่องเที่ยวเกาหลีใต้ ที่ต้องการสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับวัดพุทธและวัฒนธรรมพุทธของชาวเกาหลี ซึ่งเป็นศาสนาที่ในประวัติศาสตร์ชาวเกาหลีนับถือ ถึงแม้ปัจจุบันชาวเกาหลีใต้ที่นับถือศาสนาพุทธจะมีอยู่เพียง 15% เท่านั้น

จอดรถเสร็จสรรพ เราเดินขึ้นเนินมาที่ทางเข้าของวัด พบกับภิกษุณีที่มารอรับคณะของพวกเรา ก่อนจะพาเราไปร่วมกิจกรรมทำสมาธิผ่านพิธีชงชาโดยเจ้าอาวาสซึ่งเป็นภิกษุณีเช่นกัน

ระหว่างทางเดินเราพบกับเด็กๆ วัยอนุบาลของเกาหลีที่คุณครูพามาทัศนศึกษาที่วัด รวมไปถึงนักท่องเที่ยวที่มาเดินพักผ่อน ด้วยบริเวณของวัดที่รายรอบไปด้วยภูเขาและอุทยานแห่งชาติบุคฮันซาน ซึ่งมีเส้นทางเดินในธรรมชาติให้นักท่องเที่ยวได้เดินสูดอากาศ รวมถึงกิจกรรมการเดินทำสมาธิของผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่วัดอีกด้วย

เมื่อมาถึงห้องสำหรับพิธีชงชา เราทำความเคารพเจ้าอาวาส ก่อนที่เจ้าอาวาสจะเริ่มชงชาเขียวที่เรียกว่าชามินชิกซอลที่ปลูกในภูเขาทางภาคใต้ เมื่อเจ้าหน้าที่รินชาให้แล้ว เราจะต้องทำความเคารพเจ้าอาวาสอีกครั้งด้วยการไหว้ ก่อนที่จะใช้มือขวาถือถ้วย ใช้มือซ้ายรองก้นถ้วย ดูสี ดมกลิ่น แล้วดื่ม โดย 1 ถ้วยแบ่งดื่ม 3 ครั้ง

สำหรับวัฒนธรรมการดื่มชาในเกาหลีจะมีความเป็นทางการและเป็นระเบียบมาก สมัยก่อนผู้เข้าร่วมพิธีจะต้องใส่ชุดฮันบก ผู้ชงชาจะต้องเป็นนักชงชา ซึ่งจะต้องเป็นพระหรือราชวงศ์เท่านั้น

เมื่อดื่มน้ำชาแล้ว บนโต๊ะเบื้องหน้าจะมีสตรอเบอร์รี่ ขนมที่คล้ายๆ กับตาล แต่ไม่หวาน และขนมข้าว ซึ่งเป็นข้าวพองๆ กรอบๆ ให้กินคู่กับการดื่มชา เนื่องจากการดื่มชาเขียวอย่างเดียวอาจทำให้แสบท้องได้ จึงต้องมีของหวานเข้ามาเสิร์ฟด้วย นอกจากนี้ บนโต๊ะของเรายังมีดอกไม้ประดับ ซึ่งหมายถึงความโชคดีและรอยยิ้ม

ดื่มชาและสนทนาเสร็จแล้ว ภิกษุณีพาคณะของเราชมส่วนต่างๆ ของวัด ไม่ว่าจะเป็นหอหนังสือ หอพระ ที่เราพบกับภิกษุกำลังสวดมนต์อยู่ ทำให้เราพบว่าวัดนี้เป็นวัดที่มีทั้งภิกษุและภิกษุณีนั่นเอง

นอกจากส่วนของวัดแล้ว ที่นี่ยังมีที่พักซึ่งเป็นโรงนอนสำหรับผู้ที่ต้องการมาพักที่นี่ที่สามารถรองรับได้ 70 คน นอกจากนี้ยังมีห้องพักแบบส่วนตัวซึ่งมีห้องน้ำในตัวและห้องซาวน่า โดยกิจกรรมของวัดที่รองรับนักท่องเที่ยวนั้น นอกจากการดื่มชาและสนทนาธรรมกับพระแล้ว ยังมีการเดินขึ้นเขาทำสมาธิ, การทำงานวัด เช่น ทำความสะอาด ร่วมกับพระและผู้อื่น, การสวดมนต์, นั่งสมาธิ, ทำอาหารวัด เป็นต้น ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเลือกโปรแกรมที่ต้องการกับทางวัดได้

ชมวัดเสร็จก็ได้เวลามื้อกลางวันกันแล้ว ไปเกาหลีทั้งที อาหารอีกอย่างที่พลาดไม่ได้ก็คือ “หมูย่างเตาถ่าน” นี่แหละจ้า! โดยร้านหมูย่างที่เราไปชื่อว่าร้านโซลบักชิบ เป็นร้านหมูย่างที่ติดอันดับ 1 ใน 50 ร้านดังของเกาหลี

เดินเข้าไปสั่งหมูซึ่งจะเป็นเซตๆ แต่ด้วยความหิวจึงรีบย่างรีบกิน ที่สุดจึงจำไม่ได้ว่า 1 เซต มีกี่ขีด หมูย่างเกาหลีแน่นอนว่าไม่เหมือนหมูกระทะหรือปิ้งย่างในบ้านเรา ที่นี่จะเน้นกินหมูย่างกับผัก คือเมื่อย่างเสร็จแล้วนำหมูมาวางบนผักหลายๆ อย่าง แล้วราดด้วยน้ำจิ้ม จากนั้นม้วนแล้วกิน โดยตอนย่างหมูจะมาเป็นชิ้นใหญ่ๆ ย่างไปสักพักให้ใช้กรรไกรตัดให้เป็นชิ้นพอดี และที่พิเศษคือพอตะแกรงย่างเริ่มดำ พนักงานจะมาเปลี่ยนให้เราทันที

อิ่มท้องแล้วคณะของเราพร้อมตะลุยกรุงโซลกันต่อ อย่างที่บอกว่าทริปนี้เราจะไม่พาคุณไปในสถานที่ที่ทัวร์พาคุณไป สถานที่ที่ 3 ในโซลของเราจึงขอพาผู้อ่านทั้งหลายมาเรียนรู้วัฒนธรรมเกาหลีให้มากยิ่งขึ้นที่ K-STYLE HUB ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจใกล้กับคลองชองเกชอน

K-STYLE HUB เป็นอาคาร 5 ชั้นโดยในชั้น 2 จะเป็นศูนย์บริการข้อมูลแก่นักท่องเที่ยว รวมถึงร้านกาแฟ แต่เป้าหมายของเราหลักๆ จะอยู่ที่ชั้น 3-5 ไปเริ่มที่ชั้นบนสุดอย่างชั้น 5 กันก่อนดีกว่า ซึ่งเป็นส่วนที่จัดแสดงพิพิธภัณฑ์อาหารเกาหลี รวมไปถึงจัดแสดงรูปแบบและวิวัฒนาการถ้วยชามของเกาหลีด้วย

พูดถึงอาหารเกาหลี เชื่อว่าอย่างแรกที่ทุกคนนึกถึงจะต้องเป็น “กิมจิ” แน่นอน เพราะเป็นผักดองที่ถูกใจคนหลายประเทศ ไม่ใช่เฉพาะแค่คนเกาหลีเท่านั้น ปัจจุบันตลาดส่งออกหลักของเกาหลีก็คือจีน หลายคนที่บอกว่ากิมจิที่ส่งมาขายเมืองไทยไม่อร่อยเหมือนไปกินที่เกาหลี ก็เป็นเพราะมีการปรับปรุงรสชาติให้ถูกปากชาวจีนนั่นเอง

อย่างที่รู้ว่ากิมจิคือผักดอง แต่กิมจิที่คนเกาหลีนิยมกินมากที่สุดก็คือ กิมจิผักกาดขาว ซึ่งในสมัยก่อน ชาวเกาหลีจะเริ่มทำกิมจิตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน โดยทำเสร็จแล้วสามารถกินได้เลย แต่หมักทิ้งไว้ 1 สัปดาห์จะดีกว่า เพราะแบคทีเรียจะเจริญเติบโต เป็นโปรไบโอติกส์ที่มีประโยชน์ต่อลำไส้ ส่วนไกด์ของเราบอกว่าถ้าจะให้อร่อยเลยก็ต้องทิ้งไว้ 1 ปีเลยทีเดียว

นอกจากกิมจิแล้วก็ยังมี “บิบิมบับ” หรือข้าวยำเกาหลี ที่จะวางสีของส่วนผสมต่างๆ ตามหลักฮวงจุ้ย รวมถึงอีกเมนูน่ากินที่มีทั้งธาตุร้อนและธาตุเย็นอย่าง “ไก่ตุ๋นโสม” ก็ถูกนำมาจัดแสดงด้วยเช่นกัน แหม…ดีนะที่จัดมื้อกลางวันมาแล้ว ไม่อย่างนั้นคณะของเราคงจะหิวกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ แน่นอน

บริเวณชั้น 5 ไม่ได้มีแต่เพียงอาหารเท่านั้น ยังมีส่วนจัดแสดงเครื่องแต่งกายของหญิงเกาหลีอย่าง “ชุดฮันบก” พร้อมมีบริการให้นักท่องเที่ยวได้สวมชุดฮันบกถ่ายภาพเป็นที่ระลึก โดยชุดฮันบกจะเป็นชุดที่คลุมขึ้นมาจนถึงเหนือหน้าอก หลายคนเข้าใจว่าที่ต้องใส่ขึ้นมาเหนือหน้าอกแล้วคลุมไปถึงเท้านั้นเป็นเพราะว่าเมื่อครั้งที่ญี่ปุ่นรุกรานเกาหลีและจับผู้หญิงเกาหลีไปเป็นเครื่องระบายกามารมณ์ ทำให้หญิงเกาหลีต้องแต่งกายมิดชิด ซึ่งไกด์ชาวเกาหลีของเราขอยืนยันว่าไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้น แต่ที่ต้องสวมขึ้นมาเหนือหน้าอก เพราะว่าเป็นการออกแบบที่ให้ผู้หญิงทุกรูปร่างสวมใส่ออกมาแล้วดูดีนั่นเอง

จากชั้น 5 เราเดินลงมาที่ชั้น 4 ซึ่งเป็นส่วนของร้านอาหารและพื้นที่เวิร์คช็อปเรียนรู้การทำอาหารเกาหลี ซึ่งหากใครสนใจก็มาติดต่อได้ที่นี่ จากนั้นเราไปรู้จักเกาหลีกันต่อในส่วนของชั้นที่ 3 ที่จะจัดแสดงอาหารของเกาหลีทั้งคาวหวานในแต่ละฤดูกาลที่จะมีความแตกต่างกันไป รวมถึงจำลองรูปแบบโอ่งหมักกิมจิของชาวเกาหลีอีกด้วย

ภารกิจตะลุยโซลของเรายังไม่หมดแค่นี้ หลังจากซึมซับวัฒนธรรมเกาหลีกันแล้ว เอาใจคอบันเทิงด้วยเป้าหมายต่อไปของเรากับที่ “MBC WORLD” ของสถานีโทรทัศน์ MBC ที่เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่ให้นักท่องเที่ยวมาร่วมสนุกไปกับละครมาสเตอร์พีซจากช่อง รวมถึงนักร้องสุดป๊อป และทำกิจกรรมในวงการสื่อและวงการบันเทิงอีกเพียบ

เริ่มกันที่โซนแรกที่จะให้เราร่วมสนุกไปกับโฮโลแกรมคอนเสิร์ตของศิลปินเคป๊อป ความยาวประมาณ 15 นาที ซึ่งทำเอาคณะเราตื่นตาตื่นใจไปกับเทคโนโลยีโฮโลแกรมของเกาหลี เพราะสมจริงเหมือนอยู่ในคอนเสิร์ตสุดๆ เสียดายที่เขาไม่ให้ถ่ายภาพออกมา เลยไม่มีภาพตรงส่วนนี้มาฝาก

สนุกกันต่อกับโซนถัดมาที่ให้เราแปลงโฉมแต่งกายย้อนยุคแบบไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า และต่อด้วยโซนที่ถูกใจคณะเราสุดๆ กับการให้ทดลองเป็นผู้ประกาศข่าวในสถานีโทรทัศน์ส่งกันไปมาระหว่างการรายงานข่าวและการพยากรณ์อากาศ เอ้า! ใครอยากลองเป็นผู้ประกาศข่าวช่องเกาหลีใต้ต้องไม่พลาด

แต่ที่ถูกใจคอซีรีส์เห็นทีจะเป็นโซนนี้ ที่เป็นฉากต่างๆ จากละครเรื่องดังที่ให้เราเข้าไปร่วมแชะภาพที่ระลึกประหนึ่งว่าเป็นตัวละครในเรื่องนั้นจริงๆ

เราผลัดกันถ่ายรูปอยู่ในโซนนี้พักใหญ่ แต่ความสนุกที่ MBC WORLD ไม่ได้มีเพียงแค่นี้ ยังมีอีกหลายโซน หลากกิจกรรมให้ทุกคนไปเอ็นจอยกันได้ เชื่อว่าจะถูกใจหลายคนที่ชอบมีเดียเอนเตอร์เทนเมนต์แน่นอน

สุดท้ายของวันนี้ คณะของเราเช็กอินเข้าที่พักกับโรงแรมในย่านใจกลางเมืองอย่าง The Plaza ที่วิวด้านหน้าเป็นศาลาว่าการกรุงโซล ผู้เขียนเลยเก็บภาพวิวจากโรงแรมมาฝาก ก่อนจะขอตัวไปพักผ่อนหย่อนใจ เตรียมตัวกับการเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้

และแน่นอนว่ามาเกาหลีใต้ครั้งนี้เราไม่ได้อยู่แค่โซล แต่ในตอนหน้าเราจะพาผู้อ่านทุกท่านไปเยือนจังหวัดติดทะเล แหล่งปลูกผักกาดขาวอย่าง “คังวอน” กับการเตรียมตัวเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูหนาวของเกาหลีใต้ จะสนุกสนาน มีที่เที่ยวที่ไหรบ้าง ติดตามตอนหน้า!