เทียบฟอร์ม คู่ชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2022 อาร์เจนตินา VS ฝรั่งเศส

FIFA World Cup Qatar 2022 - Final
คู่ชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2022 (ภาพจาก AFP)

เทียบฟอร์ม คู่ชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2022 อาร์เจนตินา กับ ฝรั่งเศส เดิมพันด้วยการเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 3

วันที่ 15 ธันวาคม 2565 ในที่สุดศึกฟุตบอลโลก 2022 ก็ใกล้จะได้บทสรุปเป็นที่เรียบร้อย โดยคู่ชิงในครั้งนี้ได้แก่ ตัวแทนจากอเมริกาใต้อย่าง อาร์เจนตินา และทีมแชมป์เก่า ตัวแทนฝั่งยุโรปอย่าง ฝรั่งเศส โดยนัดชิงชนะเลิศจะลงฟาดแข้งในคืนวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคมนี้ (เวลา 22.00 น.) ทั้งสองทีมมีฐานะเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก 2 สมัย เท่ากัน

ทางฝั่งอาร์เจนตินาไม่ได้สัมผัสแชมป์ฟุตบอลโลกตั้งแต่ปี 1986 รวมถึง 2 ครั้งล่าสุดที่พวกเขาเข้าชิง (ปี 1990 และ 2014) ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปทั้งหมด ทางด้านเจ้าของนักเตะบัลลงดอร์ 7 สมัย อย่างลิโอเนล เมสซี่ ก็ตั้งเป้าพาทีมคว้าแชมป์โลกเป็นสมัยแรกในชีวิต และเกมนี้จะเป็นนัดส่งท้ายในนามทีมชาติของเขา

ด้านฝรั่งเศสตั้งเป้าจะป้องกันแชมป์จากฟุตบอลโลกครั้งก่อน (2018) หากพวกเขาทำได้จะกลายเป็นทีมแรกในรอบ 60 ปี นับตั้งแต่บราซิลในปี 1962 ที่สามารถป้องกันแชมป์ได้ และกุนซือของเขา ดิดิเยร์ เดชองส์ ลุ้นเป็นผู้จัดการทีมคนแรกที่คุมทีมเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก 2 สมัยติดต่อกัน

อาร์เจนตินา

อาร์เจนตินา ภายใต้การคุมทัพของ ลิโอเนล สกาโลนี่ เป็นเต็งลำดับต้น ๆ ในการคว้าแชมป์ตั้งแต่ก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ แต่ทว่านัดแรกดันพลาดท่าพ่ายแพ้ให้กับซาอุดีอาระเบีย 1-2 จบสถิติไร้พ่ายมาอย่างยาวนาน จำนวน 36 นัด

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็เค้นฟอร์มเก่งกลับมาได้ โดยการเก็บชัยชนะ 2 นัดติดในรอบแบ่งกลุ่ม และสามารถคว่ำ ออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ รวมถึงโครเอเชียมาได้

ผลงานตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม สู่รอบชิงชนะเลิศ

  • รอบแบ่งกลุ่ม (แชมป์กลุ่ม ซี) แพ้ ซาอุดีอาระเบีย 1-2, ชนะ เม็กซิโก 2-0, ชนะ โปแลนด์ 2-0
  • รอบ 16 ทีมสุดท้าย : ชนะออสเตรเลีย 2-1
  • รอบก่อนรองชนะเลิศ : ชนะดวลจุดโทษ เนเธอร์แลนด์ 4-3 (เสมอ 2-2 ใน 120 นาที)
  • รอบรองชนะเลิศ : ชนะ โครเอเชีย 3-0

ตัวตัดสินเกม : ลิโอเนล เมสซี่

แม้จะอยู่ในวัย 35 ปี แต่ดาวเตะจากปารีส แซงต์-แชร์กแมง ยังคงโชว์ฟอร์มได้สุดยอด สมกับเป็น 1 ในนักเตะที่ดีที่สุดในโลกด้วยการทำผลงาน 5 ประตู กับ 3 แอสซิสต์ พาทีมชาติอาร์เจนตินาเข้าชิงชนะเลิศในฟุตบอลโลกเป็นครั้งที่ 2 และเจ้าตัวก็ประกาศชัดเจนแล้วว่าฟุตบอลโลกครั้งนี้จะเป็นทัวร์นาเมนต์สุดท้ายของเขา เมสซี่จึงตั้งใจจะคว้าโทฟี่ที่ยังไม่เคยสัมผัส ให้กลายเป็นความจริง

ฝรั่งเศส

ทีมแชมป์เก่าต้องประสบปัญหานักเตะผู้เล่นบาดเจ็บก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ไปหลายราย อย่าง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และปอล ป๊อกบา อีกทั้งยังเสีย คาริม เบนเซม่า และลูก้า แอร์นองเดซ ระหว่างการแข่งไปอีก แต่ทัพ “ตราไก่” ภายใต้การคุมทัพอย่าง ดีดิเยร์ เดส์ชองส์ ก็สามารถผ่านรอบแบ่งกลุ่มไปไม่ยากเย็นนัก พวกเขาเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย เป็นทีมแรกของทัวร์นาเมนต์ หลังเก็บชัยใน 2 นัดแรก

ส่วนในรอบน็อกเอาต์ฝรั่งเศสก็สามารถกำราบคู่แข่งที่แข็งแกร่งอย่าง โปแลนด์, อังกฤษ รวมถึงทีมม้ามืดอย่าง โมร็อกโก ไปป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ

ผลงานตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม สู่รอบชิงชนะเลิศ

  • รอบแบ่งกลุ่ม (แชมป์กลุ่ม ดี) : ชนะออสเตรเลีย 4-1, ชนะ เดนมาร์ก 2-1, แพ้ ตูนิเซีย 0-1
  • รอบ 16 ทีมสุดท้าย : ชนะโปแลนด์ 3-1
  • รอบก่อนรองชนะเลิศ : ชนะ อังกฤษ 2-1
  • รอบรองชนะเลิศ : ชนะ โมร็อกโก 2-0

ตัวตัดสินเกม : คีลิยัน เอ็มบัปเป้

ในทัวร์นาเมนต์นี้ฝรั่งเศสมีนักเตะที่โชว์ฟอร์มได้ไฉไลกันหลายคนอย่าง โอลิวิเยร์ ชิรูด์, อองตวน กรีซมันน์, ฮูโก้ ยอริส แต่ไม่มีใครโดดเด่นเท่า คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ที่โชว์ฟอร์มได้กระฉูดที่สุดของทัพตราไก่ แม้ 2 นัดหลังจะผลิตสกอร์ และแอสซิสต์ไม่ได้ แต่ในทัวร์นาเมนต์นี้ผลงานของเขาสามารถซัด 5 ประตู กับอีก 2 แอสซิสต์ และเขาตั้งเป้าจะพาทัพตราไก่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเป็นครั้งที่ 2 ของเจ้าตัวให้ได้

แน่นอนว่า “ซุปตาร์” จากปารีส-แซง-แชร์กแมง วัย 23 ปี คือ ความหวังสูงสุดของทีมชาติฝรั่งเศส สำหรับนัดชิงชนะเลิศที่จะถึงในวันอาทิตย์นี้