ขยับใหญ่ปลุกท่องเที่ยวก๊อก 2 ชง “ลดภาษี” ดึงต่างชาติช็อปปิ้ง

ช็อปปิ้ง

เดินแผนปลุกท่องเที่ยวระลอกใหญ่ หลัง “วีซ่า-ฟรี” ลอตแรกนักท่องเที่ยวจีนยังไม่มาตามนัด เผยเฟส 2 เพิ่มประเทศวีซ่าฟรี ขยายวันพำนัก พร้อมของบฯบูสเตอร์ชอต 600 ล้านบาท ดันตลาดช่วงไฮซีซั่น มั่นใจนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้ถึง 28 ล้านคน รายได้รวม 2.4 ล้านล้านบาท ด้าน ททท.กางแผนอัดบิ๊กอีเวนต์ยาวเหยียด คิกออฟด้วยงานลอยกระทง ต่อยาวถึงเคานต์ดาวน์ปีใหม่ นายกฯเศรษฐานำทีมเตรียมเซ็นความร่วมมือ 7 พันธมิตรใหญ่ด้านท่องเที่ยวของจีน 19 ต.ค.นี้ “คลัง” เสริมทัพมาตรการ “ลดภาษี” สินค้าฟุ่มเฟือย หวังดึงเม็ดเงินช็อปปิ้งนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ชง ครม.ลดภาษีหนุนช็อปปิ้ง

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการ รมว.คลัง ได้มีการประชุมหารือแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยว และการ shopping เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร ผู้แทนภาคเอกชน อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) หอการค้าและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมการประชุมที่กระทรวงการคลัง

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า รัฐบาลมีแผนกระตุ้นด้านการท่องเที่ยว และจะมีการเปิดฟรีวีซ่าเพิ่มเติม เพื่อให้รายได้ด้านการท่องเที่ยวขยายตัวได้มากขึ้นในช่วงไฮซีซั่นที่กำลังมาถึง ขณะเดียวกันยังเป็นไปตามดำริของนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ที่ต้องการทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่มีโลว์ซีซั่น

“การดำเนินการก็จะเกี่ยวข้องกับหลาย ๆ กระทรวง ทั้งคลัง มหาดไทย ท่องเที่ยว เป็นต้น อันนี้เป็นอีกหนึ่งนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ซึ่งคาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 16 ต.ค.นี้” นายจุลพันธ์กล่าว

ด้านแหล่งข่าวจากภาคการท่องเที่ยวกล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ทางกระทรวงการคลังจะมีการพิจารณาลดภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยบางรายการ เพื่อจูงใจให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวประเทศไทยมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น

สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล
สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล

อัดงบฯกระตุ้นระลอกใหญ่

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เตรียมแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงรุกอีกระลอกใหญ่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งเป็นไฮซีซั่นของการเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวของไทยให้มีรายได้จากตลาดต่างประเทศถึง 3 ล้านล้านบาท ตามนโยบายที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กำหนดไว้ตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศ

โดยรัฐบาลยังเชื่อมั่นว่าการท่องเที่ยวคือเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เร็วและดีที่สุด แม้ว่ามาตรการยกเว้นวีซ่า (วีซ่า-ฟรี) หรือ Visa exemption ให้นักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน ซึ่งเป็นนโยบาย Quick Wins เฟสแรกที่ประกาศใช้ไปตั้งแต่ 25 กันยายน 2566 ที่ผ่านมาจะยังไม่ส่งผลที่ชัดเจนนัก โดยเฉพาะตลาดจีนเนื่องจากเกิดเหตุการณ์เยาวชนยิงนักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิตที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566

ดันวีซ่าฟรีเฟส 2/เปิดผับ 24 ชม.

นางสาวสุดาวรรณกล่าวว่า สำหรับมาตรการกระตุ้นในระยะต่อไปนั้น รัฐบาลและกระทรวงการท่องเที่ยวฯพิจารณาไว้หลายแนวทาง อาทิ การเพิ่มประเทศยกเว้นวีซ่า ตามที่มีการเสนอเข้ามา เช่น อินเดีย ไต้หวัน ฯลฯ การขยายระยะเวลาการพำนักในประเทศไทยจาก 30 วัน เป็น 45 วัน หรือมากกว่านี้ สำหรับตลาดที่นักท่องเที่ยวพำนักนานหรือ long stay เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างศึกษาประเด็นเปิดสถานบันเทิง ผับ-บาร์ ถึง 02.00 น. หรือเปิด 24 ชั่วโมง สำหรับพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ หรือการนำเสนอแนวคิดให้ผู้ที่ได้รับเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท สามารถนำเงินส่วนนี้มาใช้สำหรับการเดินทางท่องเที่ยว 3,000 บาท

ผนึกแอร์ไลน์-ให้พริวิลเลจ

รวมถึงเตรียมแผนทำการตลาดร่วมกับสายการบิน เพื่อให้เพิ่มเส้นทางการบินและเพิ่มความถี่เที่ยวบินให้มากขึ้น หรือให้โวเชอร์ (voucher) และสิทธิพิเศษ (privilege) เพิ่มเติมสำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวและใช้จ่ายในประเทศไทย

“มาตรการต่าง ๆ เหล่านี้ก็อยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงมหาดไทย หน่วยงานด้านความมั่นคง ทุกแนวทางเราคิดในหลากหลายมิติมาก เนื่องจากนายกฯเศรษฐากำชับในเรื่องการสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยอย่างมาก ซึ่งคาดว่าจะสรุปได้เร็ว ๆ นี้ เพื่อให้ทันกับช่วงไฮซีซั่นนี้” นางสาวสุดาวรรณกล่าว

ของบฯบูสต์ไฮซีซั่น 600 ล้าน

นางสาวสุดาวรรณกล่าวด้วยว่า ไม่เพียงเท่านี้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯยังเตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี อนุมัติงบฯกลางจำนวน 600 ล้านบาท สำหรับเป็นงบฯกระตุ้นระยะสั้น หรือ booster shot ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ไปดำเนินงานใน 4 โครงการใหญ่สำหรับกระตุ้นตลาดในช่วงไฮซีซั่นนี้ ประกอบด้วย 1.โครงการ Amazing Thailand Passport Privileges เพื่อสร้างการรับรู้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเป็นจุดมุ่งหมายของการช็อปปิ้งเพิ่มขึ้น และขยายลูกค้าใหม่จากต่างประเทศให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว

2.โครงการ Thailand Festival Experience ใน 5 ภาค เพื่อสร้างประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวในทุกภาคทั่วประเทศ 3.โครงการ Marketing & PR Forced-move เพื่อสร้างการรับรู้ในตลาดต่างประเทศในทุกทวีป และ 4.โครงการ The Link Local to Global เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวทั้งในเมืองหลัก-เมืองรองในตลาดต่างประเทศ

“ทั้ง 4 โครงการนี้เราคาดว่าจะก่อให้เกิดผลด้านเศรษฐกิจมูลค่าหลายเท่าตัว เช่น โครงการ Thailand Festival Experience 5 ภาค ใช้งบฯราว 200 ล้านบาท คาดว่าจะก่อให้เกิดรายได้ไม่น้อยกว่า 1,100 ล้านบาท โครงการ Marketing & PR Forced-move ใช้งบฯราว 150 ล้านบาท คาดว่าจะเกิดมูลค่าเศรษฐกิจ 30,000 ล้านบาท โครงการ The Link Local to Global ใช้งบฯราว 100 ล้านบาท คาดว่าจะก่อให้เกิดรายได้ไม่น้อยกว่า 560 ล้านบาท” นางสาวสุดาวรรณกล่าวและว่า

อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อมั่นว่าปีนี้ประเทศไทยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ถึง 28 ล้านคน และมีรายได้รวมตลาดในประเทศ 2.3-2.4 ล้านล้านบาท

ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์
ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์

กระหน่ำ “บิ๊กอีเวนต์ยาวยันสิ้นปี”

ด้านนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ททท.มีความพร้อมสำหรับการเดินหน้ากระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่นอย่างเต็มที่ ทั้งตลาดจีน คาซัคสถาน ที่รัฐบาลประกาศใช้นโยบายยกเว้นการตรวจลงตราวีซ่า (วีซ่า-ฟรี) และตลาดอื่น ๆ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลของการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

นอกจากการเร่งสื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแล้ว ททท.ยังมีแผนกระตุ้นการเดินทางผ่านการจัดงานอีเวนต์และแคมเปญขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายผลักดันจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้ไม่ต่ำกว่า 25 ล้านคน

นางสาวฐาปนีย์กล่าวว่า ในส่วนของบิ๊กอีเวนต์นั้น ททท.จะเริ่มปูพรมตั้งแต่เทศกาลลอยกระทง ภายใต้ธีม คัลเลอร์ฟูล แบงค็อก (Colorful Bangkok : Winner Illusion) บนพื้นที่ที่เป็นแม่น้ำ ลำคลอง โดยเปิดที่คลองผดุงกรุงเกษม เป็นที่แรกของกรุงเทพฯ และเพิ่มการจัดงานในพื้นที่ใหม่ ๆ ในต่างจังหวัด

จากนั้นจะต่อด้วยงาน “VIJIT CHAO PHRAYA” (วิจิตร เจ้าพระยา) กิจกรรม แสง สี เสียง แบบจัดเต็ม ที่ปลุกมู้ดการเดินทางท่องเที่ยวให้กลับมา โดยปีนี้จะจัดตั้งแต่ 1-31 ธันวาคม 2566 ตลอด 1 เดือนเต็ม บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้ทั่วโลกรับรู้และเห็นความสวยงามของแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงขายแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่อยู่ใกล้ ๆ แม่น้ำเจ้าพระยาด้วย

และในช่วงเดียวกันจะมีอีเวนต์ใหญ่ คือ Amazing Thailand Marathon Bangkok 2023 (ครั้งที่ 6) ในวันที่ 3 ธันวาคม 2566 ตอกย้ำกรุงเทพฯ ประเทศไทย เป้าหมาย Sport Tourism Destination ระดับโลก ซึ่งคาดปีนี้จะมีผู้ร่วมวิ่งกว่า 3 หมื่นคน โดยยังคงคอนเซ็ปต์วิ่ง “ผ่าเมือง” ใช้เส้นทางจุดปล่อยตัวที่สนามกีฬาราชมังคลาฯ ผ่านโลหะปราสาท ถนนราชดำเนิน สะพานพระราม 8

จากนั้นจะปิดท้ายปีด้วยอีเวนต์ “เคานต์ดาวน์ 2024” โดยปีนี้จะจัดยิ่งใหญ่แข่งกับทั่วโลก ทั้งส่วนที่ ททท.ลงทุนจัดเอง และเป็นผู้สนับสนุนการจัดงาน เพื่อให้ประเทศไทยเป็น 1 ใน 3 แหล่งเคานต์ดาวน์ที่สวยที่สุด โดยกำหนดพื้นที่การจัดงานเป็นเดสติเนชั่น

อาทิ พื้นที่โค้งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเริ่มที่เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ไอคอนสยาม วัดอรุณราชวราราม ฯลฯ พื้นที่กรุงเทพฯชั้นใน จะจัดงานในพื้นที่แยกราชประสงค์ (เซ็นทรัลเวิลด์) เชื่อมต่อไปถึงเอ็มโพเรียม เอ็มสเฟียร์ รวมถึงพื้นที่บริเวณถนนรัชดาภิเษก เป็นต้น

“ปีนี้งานเคานต์ดาวน์จะไม่แยกจัดเป็นจุด ๆ แต่จะเน้นจัดและขายเป็นเดสติเนชั่น ครอบคลุมพื้นที่ยาว ๆ โดยพื้นที่ที่ ททท.ทำเอง คือ วัดอรุณราชวราราม เพราะถือเป็นไฮไลต์ ส่วนในต่างจังหวัดเราก็พร้อมสนับสนุนในทุกพื้นที่ ส่วนของภาคเอกชนเองก็มีความพร้อมสำหรับการรองรับนักท่องเที่ยวแล้วเช่นกัน” นางสาวฐาปนีย์กล่าว

ดันในประเทศหนุนรายได้ถึงเป้า

สำหรับตลาดในประเทศ นางสาวฐาปนีย์กล่าวว่า จะเป็นการช่วยบริหารความเสี่ยงด้านรายได้ของผู้ประกอบการ โดยเน้นเพิ่มหมวดด้านการขนส่ง การเดินทางมากขึ้น อาทิ เพิ่มเส้นทางบิน เพิ่มความถี่ของเที่ยวบิน โดยเฉพาะเส้นทางข้ามภาค

ส่วนการเดินทางภายในจังหวัดและจังหวัดข้างเคียงโดยรถยนต์ส่วนตัวก็ยังคงให้ความสำคัญต่อเนื่อง อีกส่วนคือการทำ workation หรือ work from anywhere และเจาะกลุ่มใหม่ ๆ เช่น กลุ่ม Soft Power 5F (Food-Film-Fashion-Fighting-Festival) และสายศรัทธาที่กำลังมาแรง

นอกจากนี้ ยังมีแคมเปญ Thailand Festival Experience ซึ่งอยู่ระหว่างการขออนุมัติงบประมาณสำหรับจัดกิจกรรม ประเพณีในท้องถิ่นตลอด 365 วันในทุกจังหวัด เพื่อให้มีกิจกรรมและงานประเพณีในทุกจังหวัด เพื่อให้สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ไม่มีโลว์ซีซั่น

รวมถึงโครงการ The LINK นำเสนอจุดแข็งท่องเที่ยวชุมชน เชื่อมโยงสู่นานาชาติ เพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินทางสู่เมืองรองและชุมชนเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าน่าจะทำให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวของคนในประเทศ หรือ ไทยเที่ยวไทย ที่จำนวน 200 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ประมาณ 8 แสนล้านบาท หรือประมาณ 80% ของปี 2562

“จริง ๆ ปีนี้เราต้องดันตัวเลขรายได้จากตลาดในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น เพราะตลาดต่างประเทศปีนี้มีหลายปัจจัยลบเข้ามาแทรกในช่วงท้ายปี อาทิ เหตุการณ์ที่สยามพารากอน สงครามอิสราเอล ฯลฯ ซึ่งเราต้องติดตามผลกระทบอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม เรายังเชื่อว่านักท่องเที่ยวต่างชาติสำหรับปีนี้จะมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 25 ล้านคน และมีรายได้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้” นางสาวฐาปนีย์กล่าว

จับมือพันธมิตรจีนปลุกวีซ่า-ฟรี

นางสาวฐาปนีย์กล่าวเพิ่มเติมถึงการขับเคลื่อนตลาดจีนด้วยว่า ขณะนี้ ททท.มีแผนประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์เชิงบวก และส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยระหว่างท่องเที่ยวในไทย เพื่อทำให้มาตรการวีซ่า-ฟรี ที่เริ่มใช้ไปแล้วตั้งแต่ 25 กันยายน 2566 ส่งผลบวกที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ รัฐบาลโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และตนในฐานะผู้ว่าการ ททท. มีกำหนดเดินทางไปลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI : Letter of Intent) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ร่วมกับ 7 พันธมิตรรายใหญ่ด้านการท่องเที่ยวของสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่กรุงปักกิ่ง ในวันที่ 19 ตุลาคม 2566 นี้

สำหรับพันธมิตรรายใหญ่ดังกล่าว ประกอบด้วย สายการบิน, ออนไลน์ แทรเวล เอเย่นต์ (OTA) และผู้ให้บริการ Payment Gateway หรือช่องทางออนไลน์ อาทิ สายการบินสปริงแอร์, อาลีเพย์, วีแชตเพย์, ซีทริป เป็นต้น