
“ทีเส็บ” มุ่งพัฒนาประเทศไทยสู่แหล่งประชุมมูลค่าสูง สร้างกลยุทธ์ใหม่ ผสมผสานอัตลักษณ์ไทยผ่านการใช้นวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ พร้อมผลักดันการเติบโตอุตสาหกรรมไมซ์ไทยผ่าน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ตั้งเป้าสิ้นปี 2567 ดึงนักเดินทางไมซ์ 23.2 ล้านคน ทำรายได้ 1.4 แสนล้านบาท
วันที่ 24 ตุลาคม 2566 นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือทีเส็บ เปิดเผยถึงทิศทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ไทยในปี 2567 ว่า อนาคตทีเส็บจะพุ่งเป้าพัฒนาประเทศไทยไปสู่การเป็นแหล่งประชุมที่ให้มูลค่าและคุณค่าสูง (high value added destination) และสร้างกลยุทธ์ใหม่ โดยผสมผสานอัตลักษณ์ความเป็นไทย ผ่านการใช้นวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และกระชับการทำงานร่วมกับภาคีทุกภาคส่วน
โดยจะยึดโยงการตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปทั้งภายในประเทศและต่างประเทศที่ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัว เพื่ออยู่รอดและเพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขัน โดยลงทุนทำวิจัยหัวข้อ MICE Foresight ว่าด้วยอนาคตของอุตสาหกรรมไมซ์ เพื่อให้ทราบทิศทางที่จะนำมาใช้เป็นแนวทางในการกำหนดแผนกลยุทธ์
ทั้งนี้ ผลการวิจัยพบว่าการดำเนินงานของทีเส็บใน 21 ปีของการก่อตั้งประสบความสำเร็จ สามารถประมูลสิทธิงานไมซ์ระดับโลกได้สำเร็จกว่า 442 งาน และให้การสนับสนุนงานไมซ์ทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 6,300 งาน คิดเป็นมูลค่าเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศแล้วไม่ต่ำกว่า 63,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไมซ์ 650 รายทั่วโลกยังยกให้ประเทศไทยเป็นที่หนึ่งในใจ (Top of Mind) เมื่อเทียบกับ 14 ประเทศทั่วเอเชีย รองลงมาคือ ญี่ปุน และสิงคโปร์ โดยประเทศไทยโดดเด่นในเรื่องความคุ้มค่าของการใช้จ่าย มีเอกลักษณ์ ความพร้อมในการรองรับนักเดินทาง และภาพลักษณ์ที่เป็นที่ยอมรับในเรื่องไมซ์
นายจิรุตถ์กล่าวว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมไมซ์ทั่วโลกได้เผชิญกับความท้าทายสำคัญทั้งในเรื่องการเดินทางธุรกิจจะลดลง ช่วงการเดินทางเพื่อร่วมงานไมซ์จะสั้นลง และความต้องการที่เปลี่ยนไป เช่น นวัตกรรมไมซ์ แหล่งประชุมใหม่ ประสบการณ์ใหม่ เป้าหมายทางธุรกิจใหม่และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
สำหรับการดำเนินงานในปี 2567 ทีเส็บจะผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมไมซ์ไทยผ่าน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.งานเทศกาลนานาชาติ (festival) ซึ่งที่ผ่านมา ทีเส็บได้สนับสนุนงานเทศกาลกว่า 100 งาน สร้างเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจให้ประเทศกว่า 50,000 ล้านบาท
2.การแสดงสินค้านานาชาติ โดยจากรายงานของสมาคมการแสดงสินค้าโลก หรือ UFI พบว่าในปี 2565 ประเทศไทยเป็นอันดับหนึ่งของอาเซียน และอันดับ 4 ของเอเชีย ในด้านพื้นที่การจัดงานแสดงสินค้า และในปี 2566 งานแสดงสินค้ายังเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มรายได้และจำนวนนักเดินทางไมซ์ต่างชาติเข้าสู่ไทย
และ 3.ตลาดไมซ์ในประเทศ ในปี 2566 มีนักเดินทางไมซ์ในประเทศ 16.5 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 50,000 ล้านบาท โดยทีเส็บได้เตรียมความพร้อมการพัฒนาและยกระดับพื้นที่เป้าหมาย (destination readiness) และการสร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าเชื่อมโยงเมืองไมซ์ทั้ง 10 แห่ง
โดยกำหนดเป้าหมายว่า สิ้นปีงบประมาณ 2567 ประเทศไทยจะมีนักเดินทางไมซ์ รวมทั้งสิ้น 23.2 ล้านคน ทำรายได้ 1.4 แสนล้านบาท แบ่งเป็นตลาดต่างประเทศ 9.6 แสนคน รายได้ 6.3 หมื่นล้านบาท และตลาดในประเทศ 22.2 ล้านคน รายได้ 7.3 หมื่นล้านบาท