“เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” รัฐมนตรีท่องเที่ยวคนใหม่ เปิดใจ “ผมพกความตั้งใจมาเต็มร้อย”

Sermsak
คอลัมน์ : สัมภาษณ์

ในอดีตกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เป็นกระทรวงเล็กที่ถูกมองข้าม กระทั่งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลายเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เคยสร้างรายได้เข้าประเทศสูงสุดถึง 2 ล้านล้านบาทในปี 2562 จึงได้รับการยกระดับเป็นกระทรวงเศรษฐกิจสำคัญ

โดยเฉพาะในรัฐบาลของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ที่ทุ่มทั้งหน้าตักเพื่อฟื้นธุรกิจในภาคการท่องเที่ยวหลังประสบโควิด-19 ให้กลับมาเป็น “เครื่องมือ” กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้อีกครั้ง ซึ่งล่าสุดนายกฯเศรษฐาได้สลับให้ “เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มานั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ และกีฬา

สานต่อ Ignite Tourism

“ประชาชาติธุรกิจ” ได้ร่วมสัมภาษณ์ “เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งวันแรก (8 พฤษภาคม 2567) ถึงแนวคิดและแผนในการเข้ามาขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย ดังนี้

“เสริมศักดิ์” บอกว่า เขาพกความตั้งใจและความมุ่งมั่นที่จะมาทำงานกับกระทรวงการท่องเที่ยวฯ อย่างเต็มร้อย และอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยเป้าหมายรายได้จากการท่องเที่ยวที่นายกฯ ได้ให้การบ้านใน 2567 นี้ ว่าจะต้องทำรายได้เข้าประเทศได้รวม 3.5 ล้านล้านบาทนั้นถือเป็นการบ้านที่ยิ่งใหญ่

“เป้าหมายของนายกฯ ผมถือว่าเป็นการบ้านที่มีความสำคัญมาก และก็ภูมิใจที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เป็นอีกกระทรวงหนึ่งที่มีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ผมคนเดียวคงไม่สามารถทำได้ จึงจำเป็นต้องขอความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งข้าราชการกระทรวง สมาคม ท่องเที่ยว ฯลฯ มาร่วมช่วยกันผลักดันให้นโยบายของรัฐบาลสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี”

และพร้อมสานต่อนโยบาย Ignite Tourism Thailand ของรัฐบาลตามที่ “สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้แถลงวิสัยทัศน์ไว้เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาด้วย

ADVERTISMENT

ปลุก “โลว์ซีซั่น-โกลเด้นวีก”

“เสริมศักดิ์” บอกด้วยว่า จะเร่งหารือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันรายได้ท่องเที่ยวให้ถึงเป้าหมายของรัฐบาล ซึ่งสถานการณ์ของการท่องเที่ยวของไทยเพิ่งผ่านช่วงพีกซีซั่น (High Season) ดังนั้น ประเด็นที่ต้องเร่งคือ ในช่วงที่เป็นโลว์ซีซั่น ซึ่งกำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ เราจะมีแนวทางที่จะส่งเสริมให้มีการท่องเที่ยว เพื่อจะมีมาต่อยอดรายได้ได้อย่างไร

และบอกว่าช่วงไฮซีซั่นที่ผ่านไปแล้ว รัฐมนตรีคนก่อนท่านก็ได้มุ่งมั่นทำงานและทำไว้ดีมาก ตนจึงต้องมาขับเคลื่อนต่อในช่วงโลว์ซีซั่นนี้ รวมถึงช่วงโกลเด้นวีก ซึ่งเป็นเทศกาลวันหยุดยาวของจีนว่าจะต้องวางแนวทางอย่างไรต่อไป

ADVERTISMENT

โดยนโยบายเร่งด่วนที่ส่งต่อให้กับทุกหน่วยงานในสังกัดช่วยกันคือ ช่วงโลว์ซีซั่น (พฤษภาคม-กันยายน) ผู้ประกอบการเดือดร้อนเราจะต้องมีการส่งเสริมการตลาดเชิงรุกไปยังกลุ่มประเทศที่ได้รับ VISA FREE

พร้อมเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับกิจกรรมอื่น ๆ เช่น การตรวจสุขภาพ งานแต่งงาน การท่องเที่ยวของกลุ่ม LGBTQ+ กลุ่มความเชื่อมูเตลู กลุ่มแฟนคลับของไอดอลไทย/เกาหลี ฯลฯ

รวมถึงเตรียมการรองรับการท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวของประเทศจีน หรือ Golden Week ในช่วงต้นเดือนตุลาคม เพื่อกระตุ้นต่อในช่วงที่เป็นไฮซีซั่นปลายปีแต่เนิ่น ๆ ด้วย

ประเทศไทยจะไม่ “หลับใหล”

เมื่อถามว่าเตรียมงบฯพิเศษสำหรับทุ่มทำตลาดในช่วงโลว์ซีซั่นนี้อย่างไรบ้าง “เสริมศักดิ์” บอกว่ากำลังพิจารณา และจะไม่ได้มุ่งเป้าเฉพาะตลาดต่างประเทศเท่านั้น ส่วนตัวมองว่าตลาดในประเทศ หรือไทยเที่ยวไทยก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน เพราะพี่น้องคนไทยเขามีผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นมากมาย

จุดสำคัญคือ การท่องเที่ยวต้องช่วยกระจายรายได้ลงสู่ชุมชน พี่น้องคนไทยมีอาชีพ มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจต้องไปทำงานควบคู่กับกระทรวงอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อให้พื้นที่ในแต่ละชุมชนมีการท่องเที่ยวต่อเนื่องตลอดทั้งปี ไม่ใช่ปีหนึ่งมีครั้งเดียว

“เราจะมีมาตรการออกมากระตุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพราะนายกฯ ท่านบอกแล้วว่าประเทศไทยจะไม่หลับใหลแล้ว เมืองไทยจะเป็นโฮมสเตย์ของโลก เราจะมีงานประเพณีต่าง ๆ ในระดับโลก และเราจะเป็นศูนย์กลางในการจัดงานสำคัญของโลก”

เดินคู่ 2 ขา “ท่องเที่ยว-กีฬา”

“เสริมศักดิ์” ยังบอกอีกว่า และไม่ใช่เพียงแค่การท่องเที่ยวเท่านั้น กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ขับเคลื่อน 2 ขาคือ ขาของการท่องเที่ยวฯ อีกขาหนึ่งคือเรื่องกีฬา ซึ่งก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะกีฬาช่วยสร้างชาติ กีฬาเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่สำคัญ ทำให้คนรู้รักสามัคคี

ดังนั้น จึงต้องทำให้ท่องเที่ยวและกีฬาสามารถต่อยอดและเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดรายได้เข้าประเทศตามเป้าหมาย และคนไทยมีงานทำ ที่สำคัญทั้ง 2 ขาต้องเดินและขับเคลื่อนไปพร้อม ๆ กัน

โดยล่าสุดประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดงานฟีฟ่า คองเกรส ครั้งที่ 74 ชาติแรกในอาเซียน เพื่อต้อนรับผู้นำฟุตบอลทั่วโลก มีประเทศสมาชิกกว่า 200 ประเทศ และคาดว่าจะมีคนมาประชุมกว่า 3,000 คน ซึ่งจะเริ่มกลางเดือนพฤษภาคมนี้

ทั้งนี้ เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการประชุม สัมมนา และมาเที่ยว มาจับจ่ายใช้สอยในสิ่งที่เป็นซอฟต์พาวเวอร์ของไทย

ประเมินผลทุก 3-6 เดือน

รัฐมนตรีเสริมศักดิ์ยังเพิ่มเติมด้วยว่า จากนี้จะประเมินผลการทำงานทุก 3 เดือน และ 6 เดือน ว่าที่ทำไปแล้วมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นหรือไม่ และมีรายได้เข้าประเทศอย่างไร ตัวเลขทั้ง 2 ส่วนจะเป็นตัวชี้วัดการทำงานอย่างชัดเจน

พร้อมทิ้งท้ายว่า ท่านนายกฯเศรษฐาเป็นคนมุ่งมั่นและทำเร็ว ฉะนั้น นโยบายที่ออกมาต้องวัดผลได้ และเห็นผลทันทีตั้งแต่ 3 เดือนแรก