ดัน “ชิม ช้อป ใช้” ภาคอินเตอร์ สารพัดมาตรการกระตุ้นเข้า ครม.ศก.

จากรายงานของกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬาระบุว่า ปี 2562 ที่ผ่านมาประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 3.01 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.37% แบ่งเป็น นักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 39.79 ล้านคน สร้างรายได้ 1.93 ล้านล้านบาท และชาวไทยเที่ยวไทยมูลค่า 1.08 ล้านล้านบาท

ตัวเลขดังกล่าวชี้ชัดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยในปีที่ผ่านมา ยังขยายตัวได้ทั้งในส่วนของจำนวนที่เติบโต 4.24% และรายได้ที่เติบโต 3.05%

สำหรับปี 2563 นี้ ดูเหมือนหลายฝ่ายจะแสดงความหนักใจบ้าง เนื่องจากการขยายตัวของปี 2562 ที่ผ่านมานั้นแม้จะยังเติบโตอยู่ แต่ก็ถือว่าเป็นการขยายตัวได้ในอัตราที่ต่ำกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นผลจากปัญหาเรื่องของสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ ที่ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงจีนชะลอตัว บวกค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง ทำให้สินค้าและบริการทางด้านการท่องเที่ยวของไทยมีราคาที่สูงขึ้น (จากอัตราแลกเปลี่ยน)

และก็ยังเชื่อว่า “ค่าเงินบาท” ที่แข็งค่าต่อเนื่องนี้ จะยังเป็น “ปัจจัยลบ” ของภาคธุรกิจท่องเที่ยวของไทยต่อไปในปีนี้ ซึ่งประเด็นปัญหาดังกล่าวนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯได้รับรู้และได้พยายามหาแนวทางรับมือและช่วยภาคเอกชนกระตุ้นการท่องเที่ยวของไทยในหลากหลายรูปแบบในช่วงปี 2 ปีที่ผ่านมา

“พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา บอกว่า สำหรับปีนี้ภาครัฐยังคงพยายามเฟ้นหามาตรการต่าง ๆ เพื่อนำมากระตุ้นการท่องเที่ยวของไทยอย่างต่อเนื่องเช่นเดิม เพื่อให้ภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

โดยขณะนี้ได้มีการหารือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อหามาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวลอตใหญ่กว่า 10 มาตรการ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในตลาดต่างประเทศเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ในวันที่ 31 มกราคมนี้ เพื่อขอมติเห็นชอบและขอใช้งบประมาณกลางในการจัดทำมาตรการต่อไป

“มาตรการไฮไลต์หนึ่งที่กำลังคุยกัน คือ มาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” เวอร์ชั่นอินเตอร์แจกคูปองเงินสดสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติไปใช้ช็อปปิ้ง เพื่อทดแทนความรู้สึกจ่ายแพงของนักท่องเที่ยวอันมาจากค่าเงินบาทที่ทวีความแข็งค่า”

และพร้อมกันนั้นยังเตรียมที่จะดันมาตรการยกเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจีนและอินเดียต่อ โดยเชื่อว่ามีโอกาสสำเร็จมากกว่าครั้งก่อน เพราะครั้งนี้ได้ผ่านการหารือร่วมกับ 5 หน่วยงานหลัก อย่างกระทรวงการท่องเที่ยวฯ, กลาโหม, มหาดไทย, ต่างประเทศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว โดยทุกหน่วยงานไม่ติดขัด ยกเว้นกระทรวงการต่างประเทศที่ยังแบ่งรับแบ่งสู้

“หากมาตรการยกเว้นวีซ่าสำหรับ 2 ชาติสำเร็จจะผลักดันจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนให้ทะลุ 12 ล้านคน และอินเดียมากกว่า 2 ล้านคนอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากไม่ได้ก็อาจจะต้องรับความเสี่ยงที่

นักท่องเที่ยวจีนจะเปลี่ยนพื้นที่หันไปท่องเที่ยวในประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามที่มีราคาทัวร์ถูกกว่า เนื่องจากค่าเงินบาทของเราแข็งค่ามาก”

“พิพัฒน์” บอกด้วยว่า กระทรวงตั้งเป้าที่จะผลักดันรายได้ด้านการท่องเที่ยวของไทยในปีนี้ให้ได้มากกว่า 3.4 ล้านล้านบาท จาก 3.01 ล้านล้านบาทในปีก่อน โดยแบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40.5-41 ล้านคนสร้างมูลค่า 2.1 ล้านล้านบาท นักท่องเที่ยวชาวไทย 172 ล้านคน-ครั้ง สร้างมูลค่าการท่องเที่ยว 1.2-1.3 ล้านล้านบาทและถ้าหากมีมาตรการฟรีวีซ่าสำหรับจีนและอินเดีย เชื่อว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้มากกว่า 41.8 ล้านคน

เช่นเดียวกับ “ยุทธศักดิ์ สุภสร” ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่บอกว่า ปัจจัยบวกสำคัญของปี 2563 น่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของรัฐบาล ซึ่งครอบคลุมตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในวันที่ 31 มกราคมนี้ จะนำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เน้นตลาดต่างประเทศเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ)

โดยแต่ละมาตรการจะครอบคลุมการอำนวยความสะดวกในการเข้าเมืองให้กับนักท่องเที่ยว การกระตุ้นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ การชดเชยค่าเงินบาทแข็งค่า และอื่น ๆ รวมถึงมาตรการยกเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจีนและอินเดียเป็นเวลา 14 วัน

อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะสามารถให้การยกเว้นวีซ่าได้หรือไม่ เนื่องจากอาจขัดกับมาตรา 12 ของพระราชบัญญัติตรวจคนเข้าเมือง ที่ระบุให้ต้องมีการตรวจลงตราเกิดขึ้น

ทั้งนี้ หากมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ ที่เตรียมนำเสนอที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจไม่เห็นชอบ ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯก็เตรียมที่จะยื่นขอต่ออายุมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองแทน (VOA) ที่จะหมดอายุวันที่ 30 เมษายนนี้ ไปจนสิ้นสุดปี 2563