สหภาพการบินไทย ยกเหตุผล 10 ข้อ ปูมหลังหนี้บาน “มรดกบาปจากใคร ?”

แฟ้มภาพ

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2563 จากกรณี ที่ กลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย จำนวน 15 คน นำโดย นายนเรศ ฝั่งแย้ม ประธานสหภาพฯ เดินทางไปยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ผ่าน นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี และนายสมพาศ นิลพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงจุดยืนของสหภาพฯ ต่อกรณีแผนฟื้นฟูบริษัทฯ การบินไทย จำกัด (มหาชน) ที่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

โดยทางสหภาพ แสดงจุดยืน ให้เน้นสถานะ คงสภาพความเป็นรัฐวิสาหกิจ และอยู่ร่วมกันของหน่วยงานทุกหน่วยงานของบริษัท รวมทั้ง คุ้มครองสิทธิประโยชน์ รวมถึงสวัสดิการ ของพนักงานทุกคน ตามสภาพการจ้างที่มีอยู่เดิม คัดค้านการแปรรูปบริษัท และพร้อมยินดีให้ความร่วมมือกับรัฐบาล

นอกจากนี้เฟซบุ๊กของ สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย หรือ TG UNION ได้เผยแพร่บทความ “ปูมการบินไทย การบินไทย มรดกบาปจากใคร” โดยระบุว่า ที่บมจ.การบินไทย ประสบภาวะขาดทุนสะสมอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นปัญหาหลักใหญ่ที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจทางการเมือง เร่งซื้อเครื่องบิน ในยุคทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2544

พร้อมกันนี้ ยังได้ยกเหตุผล 10 ข้อ ขึ้นมาประกอบ และได้สรุปว่า มีความเปลี่ยนแปลงเป็นลบ เนื่องจากยุคทักษิณ ที่อนุมัติทุ่มซื้อเครื่องบิน แข่งขันกับสายการบินอื่น ตามนโยบายการบินเสรี ดังนี้

1. การบินไทยซื้อเครื่องบินแบบ A340-500 จำนวน 4 ลำ ในช่วงเวลานั้น แม้ทางสภาพัฒน์จะขอให้ทบทวน นี่คือจุดเริ่มต้นของการขาดทุน ผู้รับผิดชอบคือคณะกรรมการบริษัทในช่วงรัฐบาลทักษิณ

2.ในปี 2547 รัฐบาลทักษิณเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการลงทุนในสายการบิน จาก 70/30 มาเป็น 51/49 โดยให้แอร์เอเชียถือหุ้น 49% Shincorp 49% กุหลาบแก้ว 2% nominee
ผู้รับผิดชอบคือรัฐบาล

3.หลังจัดตั้งไทยแอร์เอเชีย คณะกรรมการบินไทยมีนโยบายมิให้ฝ่ายการพาณิชย์การบินไทยทำการแข่งขันกับไทยแอร์เอเชีย
ผู้รับผิดชอบคือคณะกรรมการ

4.หลังจัดตั้งสายการบินนกแอร์ ฝ่ายบริหารนกแอร์ไม่ดำเนินการตามนโยบายคณะกรรมการบริษัทฯ การบินไทยก็มิได้เข้าไปควบคุมนโยบาย แม้จะมีเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4
ผู้รับผิดชอบคือคณะกรรมการ

5.แทนที่จะเขาไปควบคุมสถานการณ์ในนกแอร์ คณะกรรมการกลับไปลงนามใน MOU เพื่อร่วมทุนกับ สายการบิน ไทเกอร์ ที่สิงคโปร์แอร์ไลน์ถือหุ้นในช่วงนั้น 49% โดยไม่ได้ศึกษาว่าสายการบินไทเกอร์ ขาดทุนติดกันหลายปี และถูกระงับการบินไปช่วงหนึ่ง เนื่องจากด้อยความปลอดภัย ลงเงินไปแล้ว 100 ล้านบาท โครงการต้องล้มไปเพราะมีการต่อต้านว่า ชักศึกเข้าบ้าน
ผู้รับผิดชอบคือคณะกรรมการ

6.เพียง 5 เดือนหลังโครงการไทยไทเกอร์ต้องล้มไป คณะกรรมการ จัดตั้งสายการบินไทยสมายล์ ผลการศึกษา ปี 57,58,และ 59 จะทำกำไร 5,056 ล้านบาท ผลประกอบการจริง ขาดทุน -4,485 ล้านบาท
ผู้รับผิดชอบคือคณะกรรมการ

7.ในช่วงจัดตั้งไทยสมายล์ คณะกรรมการบริษัทการบินไทย สนับสนุนให้นกแอร์ (การบินไทยถือหุ้น 39%) ไปร่วมทุนกับสายการบินสกู๊ต ซึ่งสิงคโปร์แอร์ไลน์ถือหุ้น 100% แม้ในปี 58 การบินไทยขาดทุน 13,047 ล้านบาท ยังอนุมัติเงิน 983 ล้านบาทเพื่อลงทุนในนกสกู๊ต
ผู้รับผิดชอบคือคณะกรรมการ

8.ปี 2557 สายการบินไทยสมายล์ขาดทุน 577 ล้านบาท และตามสัญญาเช่าเครื่องบินแบบ A320-200 จำนวน 12 ลำ บริษัทผู้ให้เช่าและบริษัทผู้เช่ามีสิทธิ์ยกเลิกสัญญาโดยแจ้งล่วงหน้า 6 เดือน ต้นปี 58 ICAO ให้ธงแดงประเทศ ซึ่งแน่นอนจะต้องกระทบผลดำเนินการของไทยสมายล์ ในปีเดียวกัน คณะกรรมการซุปเปอร์บอร์ดซึ่งมีท่านนายกฯเป็นประธาน มีมติให้การบินไทยชะลอการจัดหาเครื่องบิน และในปี 58 ไทยสมายล์ขาดทุน 1,843 ล้านบาท ควรทบทวนแผนการบินไทยสมายล์ ที่สามารถจะทำการยกเลิกจำนวนเครื่องบินที่เช่าลง แต่กลับไปเพิ่มจำนวนเครื่องบินอีก 8 ลำ และผลประการปี 59 ที่ว่าจะกำไร 1,910 ล้านบาท มาเป็นขาดทุน 2,060 ล้านบาท

9.อนุม้ติการจัดซื้อระบบสำรองที่นั่ง Navitaire จากบริษัทที่โดนศาลสหรัฐปรับเป็นเงินกว่า 2 พันล้านบาท ฐานรับสินบน ระบบดังกล่าวไม่สามารถเชื่อมต่อกับระบบของการบินไทยได้ เป็นการทำลาย Net work ของการบินไทย ในที่สุดต้องเลิกใช้ เสียหายไป 500 ล้านบาท

10. ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้นการลงทุนในสายการบิน มีรัฐบาลจากการรัฐประหาร 2 รัฐบาล รัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง 3 รัฐบาล คณะกรรมการบริษัทมิได้เสนอทางแก้ไขนโยบายดังกล่าวแม้แต่ครั้งเดียวเพื่อปกป้องผลประโยชน์บริษัท และสิทธิการบินซึ่งเป็นสมบัติของชาติ

ที่น่าสนใจคือนับตั้งแต่ปี 2544 หรือตั้งแต่ยุคเริ่มต้นรัฐบาลทักษิณเข้าบริหารประเทศเป็นต้นมา มีข้อสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับยอดหนี้สินระยะยาวของ บมจ.การบินไทย โดยเฉพาะมูลค่าหนี้ภายใต้เงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบินดังนี้

ปี 2544 หนี้สินภายใต้เงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบินตามรายงานประจำปี 2544 มียอดหนี้ 9,927 ล้านบาท แต่มีการปรับปรุงตามรอบบัญชีใหม่และแสดงในรายงานประจำปี 2545 เพิ่มเป็น 44,822 ล้านบาท
ส่วนปี 2545 ยอดหนี้ภายใต้สัญญาเช่าเครื่องบินของ บมจ.การบินไทย อยู่ที่ 34,801 ล้านบาท จากนั้นก็มีการปรับขึ้นโดยเฉลี่ยแทบทุกปี คือ
ปี 2546 จำนวน 35,292 ล้านบาท
ปี 2547 จำนวน 39,672 ล้านบาท
ปี 2548 จำนวน 49,101 ล้านบาท
ปี 2549 จำนวน 53,486 ล้านบาท
ปี 2550 จำนวน 70,572 ล้านบาท
ปี 2551 จำนวน 65,336 ล้านบาท
ปี 2552 จำนวน 68,028 ล้านบาท
ปี 2553 จำนวน 54,732 ล้านบาท
ปี 2554 จำนวน 47,793 ล้านบาท
ปี 2555 จำนวน 61,611 ล้านบาท
ปี 2556 จำนวน 63,319 ล้านบาท
ปี 2557 จำนวน 61,389 ล้านบาท

กล่าวโดยสรุปว่าข้อมูลตัวเลขที่แสดงให้เห็นบางส่วนค่อนข้างชัดเจนว่าสถานะทางการเงินของ บมจ.การบินไทย มีความเปลี่ยนแปลงจากบวกเป็นลบอย่างชัดเจนในช่วงยุครัฐบาลทักษิณ ซึ่งอนุมัติทุ่มซื้อเครื่องบินตามนโยบายที่กำหนดออกมาว่า “การบินเสรี” และอ้างว่าเพื่อรองรับการแข่งขันกับสายการบินอื่น ๆ ซึ่งกรณีนี้ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนต่อไปว่าจริงหรือไม่ หรือเป็นข้ออ้างเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจการเมืองที่สร้างปัญหาให้กับ บมจ.การบินไทย มาจนถึงทุกวันนี้