คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก ผู้เขียน : ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์
ที่จับตามองสถานการณ์โลกอย่างใกล้ชิด ต่างลงความเห็นตรงกันว่า หนึ่งในประเทศที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน รวมถึงนโยบายล็อกดาวน์โควิด-19 แบบเข้มงวดสุดขีดของทางการปักกิ่งก็คือเวียดนาม
บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์ของโลกพาเหรดกันย้ายฐานการผลิตเข้าสู่เวียดนาม ล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ก็เกิดกระแสว่าแอปเปิลเตรียมโยกการผลิตไอแพดจากจีนเข้ามาที่นี่ หนึ่งปีก่อนหน้านั้นเสี่ยวหมี่ก็หันมาผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางส่วนของตนที่เวียดนาม
- “พลังงานไฮโดรเจน” ถูกกว่าน้ำมัน 60% ไทยเริ่มศึกษาแต่ เยอรมัน กำลังจะเลิกใช้
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- อย.เปิดชื่ออาหารเสริม พบสารอันตราย ร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต เตรียมดำเนินการตามกฎหมาย
ยักษ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เข้ามาลงทุนในเวียดนามเป็นเจ้าแรก ๆ คือซัมซุง ลงทุนเปิดโรงงานการผลิตมูลค่า 670 ล้านดอลลาร์ที่จังหวัดบักนินห์ ทางตอนเหนือของประเทศในปี 2014 ก่อนจะเพิ่มการลงทุนออกไปทั่วประเทศรวมแล้วมากกว่า 17,300 ล้านดอลลาร์ ภายในชั่วระยะเวลา 10 ปีเศษเท่านั้น
อินเทลจากสหรัฐอเมริกาอีกรายที่เข้ามาลงทุนในยุคแรก ๆ ด้วยการเปิดสายการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขึ้นที่โฮจิมินห์ซิตีในปี 2006 ก่อนจะลงทุนเพิ่มในปี 2019 และอีกครั้งในปี 2020 ที่ผ่านมา รวมเม็ดเงินลงทุนสูงถึง 1,500 ล้านดอลลาร์แล้ว
ผลลัพธ์จากการลงทุนโดยตรงดังกล่าวนี้ เห็นได้ชัดในช่วงระหว่างปี 2010 จนถึง 2020 การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์, คอมพิวเตอร์ และชิ้นส่วนประกอบจากเวียดนามขยายเพิ่มขึ้นในอัตราที่น่าตกใจถึงปีละ 28.6 เปอร์เซ็นต์
อันดับรวมของการส่งออกของเวียดนาม ขยับพรวดจากอันดับที่ 47 ของโลกในปี 2001 เป็นอันดับ 10 ของโลกในปี 2020 ที่ผ่านมา
มูลค่าการส่งออกของเวียดนามเทียบเท่ากับ 1.8 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ของทั้งโลก
เหตุผลหลักที่ส่งผลให้ทุนจากยักษ์อิเล็กทรอนิกส์หลั่งไหลเข้าสู่เวียดนาม ก็คือการปฏิรูปภายในประเทศในช่วงกลางทศวรรษ 2000 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกาศใช้กฎหมายเอ็นเตอร์ไพรส์ เมื่อปี 2005 และกฎหมายเพื่อการลงทุนเมื่อปี 2000
กฎหมายทั้งสองฉบับนั้นมีผลบังคับใช้เต็มที่ในปี 2015 เปิดทางให้บริษัทต่างชาติสามารถครอบครองหุ้นส่วนใหญ่ของกิจการในเวียดนามได้ ไม่จำเป็นต้อง “ลงทุนร่วม” กับบริษัทในท้องถิ่นอีกต่อไป และสามารถควบคุมคุณภาพกับจังหวะเวลาการผลิตสินค้าได้อย่างเต็มที่ตามที่ต้องการ
เหตุผลสำคัญอีกประการก็คือ ต้นทุนในการทำธุรกิจในเวียดนามลดลงอย่างมีนัยสำคัญในกลางทศวรรษ 2000 ในช่วงระหว่างปี 2016-2020 ค่าแรงทั้งในจีนและเวียดนามต่างขยับขึ้นเหมือน ๆ กัน แต่ค่าแรงในเวียดนามเพิ่มขึ้นช้ากว่าการเพิ่มขึ้นของค่าแรงในจีน พอถึงปี 2020 ค่าแรงที่ต้องจ่ายเพื่อจ้างแรงงานในเวียดนามก็เหลือเพียงแค่ครึ่งเดียวของค่าแรงในจีน
ค่าไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ในโฮจิมินห์ซิตี ถูกกว่าในจีน 0.3 ดอลลาร์ แถมยังยื่นขอไฟฟ้าได้เร็วกว่าอีกด้วย
นอกจากนั้น เวียดนามยังปรับปรุงการจัดเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ผลก็คือสามารถลดปริมาณการจัดเก็บภาษีโดยรวมลงได้ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ ภาษีหลัก ๆ ที่บริษัทต่างชาติต้องจ่ายมีเพียงภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งต่ำกว่าในจีนอยู่ระหว่าง 5-7 เปอร์เซ็นต์ แถมยังได้รับการยกเว้นภาษีนี้เป็นเวลา 4 ปีอีกต่างหาก
จุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของเวียดนาม ภายใต้สิ่งที่ดูเหมือนเป็นความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมาก็คือ การผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในเวียดนามส่วนใหญ่แล้วเป็นอุตสาหกรรม “กลางน้ำ” หรือคือการ “ประกอบ” ชิ้นส่วน เข้าด้วยกันเพื่อเป็นสินค้าสำเร็จรูปพร้อมส่งออก ไม่มีอุตสาหกรรม “ต้นน้ำ” อย่างเช่นการออกแบบหรือการผลิตชิ้นส่วน
บริษัทที่เข้ามาดำเนินกิจการในเวียดนามส่วนใหญ่แล้วใช้การออกแบบผลิตภัณฑ์ในสหรัฐอเมริกา หรือไม่ก็ที่เกาหลีใต้ แล้วมอบหมายให้จีนเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ จากนั้นจึงนำมาประกอบเป็นผลิตภัณฑ์ในเวียดนาม
ซึ่งนั่นทำให้มูลค่าเพิ่มของสินค้าที่ผลิตเพื่อการส่งออกของเวียดนามจำกัดอยู่ที่เฉลี่ยแล้ว 55 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง เนื่องจากชิ้นส่วนแทบทั้งหมดไม่ได้ผลิตในประเทศ
หากเวียดนามต้องการก้าวขึ้นสู่การเป็นฮับของการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของเอเชียใน “ระยะยาว” ให้ได้ ก็จำเป็นต้องขยับระดับของตนเองใน “ห่วงโซ่การผลิต” ก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิต “ต้นน้ำ” ให้ได้
เพื่อการนี้เวียดนามจำเป็นต้องเพิ่มทักษะให้กับแรงงานของตน ผ่านการศึกษาขั้นสูงที่เรียกว่าการศึกษาขั้นที่ 3 (tertiary education) เพื่อรองรับความต้องการเชิงอุตสาหกรรมดังกล่าวนั้น
ซึ่งทุกวันนี้มีเพียงแค่ไม่ถึง 2 ล้านคนเท่านั้นที่ศึกษาอยู่ในระดับนี้ในเวียดนาม
ในขณะที่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณให้ได้ถึง 2 เท่าตัวเป็นอย่างน้อย 3.8 ล้านคน เพื่อให้ได้เท่าทันกับกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับบนทั้งหลาย ภายในช่วง 15-20 ปีข้างหน้า
ไม่เช่นนั้นยุคทองทางอิเล็กทรอนิกส์ของเวียดนามอาจหดสั้นลงกว่าที่คิดก็เป็นได้นั่นเอง