เพดานราคาน้ำมัน คืออะไร ชาติตะวันตกต้องการสิ่งใดจากรัสเซีย

เรือบรรทุกน้ำมัน
แฟ้มภาพ เรือบรรทุกน้ำมัน จอดที่คอมเพล็กซ์ Sheskharis ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Chernomortransneft JSC บริษัทในเครือของ Transneft PJSC ในโนโวรอสซีสค์ รัสเซีย หนึ่งในโรงงานน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ของรัสเซีย (AP Photo, File)

ความพยายามของประเทศกลุ่ม G7 กำหนดเพดานราคารับซื้อน้ำมันรัสเซีย เพื่อสกัดเส้นทางการเงินในการทำสงครามกับยูเครนจะเกิดขึ้นทันกำหนดการ 5 ธ.ค. นี้หรือไม่ และเพดานราคาคืออะไรเป็นสิ่งที่ผู้ติดตามเรื่องพลังงานทั่วโลกติดตามสถานการณ์

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 เอพี รายงานว่า ขณะนี้รัฐบาลตะวันตกตั้งเป้าที่กำหนดเพดานราคาน้ำมันส่งออกของรัสเซีย ตามความพยายามจำกัดรายได้น้ำมันที่สนับสนุนงบประมาณการทหาร และการรุกรานยูเครนของรัสเซีย

การกำหนดเพดานราคาส่งออกน้ำมันนี้จะมีผลในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่สหภาพยุโรป หรือ อียูจะบังคับใช้การคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซีย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นน้ำมันดิบที่ขนส่งทางเรือ ทั้งนี้อียูยังอยู่ระหว่างการเจรจาในกลุ่มประเทศสมาชิกว่า เพดานราคาควรเป็นเท่าใด

อย่างไรก็ตาม มาตรการทั้งสองนี้ อาจส่งผลกระทบที่ไม่แน่นอนต่อราคาน้ำมัน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียอุปทานผ่านการคว่ำบาตร พร้อมกับความกลัวเกี่ยวกับอุปสงค์ที่ลดลงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

ข้อเท็จจริงพื้นฐานเกี่ยวกับเพดานราคา การห้ามส่งสินค้าของสหภาพยุโรป และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้บริโภคและเศรษฐกิจโลก มีดังนี้

เพดานราคาคืออะไร และทำงานอย่างไร

เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ได้เสนอการกำหนดเพดานราคาดังกล่าวร่วมกับพันธมิตรกลุ่มประเทศ G7 เพื่อจำกัดรายได้ของรัสเซีย พร้อมกับการทำให้น้ำมันรัสเซียยังคงไหลเวียนสู่เศรษฐกิจโลก

ข้อเสนอนี้มีเป้าหมายคือ ทำลายเส้นทางการเงินของรัสเซีย พร้อมกับการดูแลราคาน้ำมันไม่ให้พุ่งสูง

บริษัทประกันภัยและบริษัทอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งน้ำมันจะสามารถจัดการกับน้ำมันดิบของรัสเซียได้ก็ต่อเมื่อน้ำมันมีราคาอยู่ที่หรือต่ำกว่าเพดานที่กำหนด

ทั้งนี้ บริษัทประกันส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในสหภาพยุโรปหรือสหราชอาณาจักรและอาจต้องเข้าร่วม และหากไม่มีประกันเจ้าของเรือบรรทุกน้ำมันอาจลังเลที่จะรับน้ำมันจากรัสเซียและเผชิญกับอุปสรรคในการส่งมอบ

เจเน็ต เยลเลน
เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐ (AP Photo/Jacquelyn Martin, File)

น้ำมันจะไหลไปสู่เศรษฐกิจโลกได้อย่างไร?

การบังคับใช้คำสั่งห้ามประกันภัยสากลที่กำหนดโดยสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรในการคว่ำบาตรรอบก่อนหน้านี้ อาจดึงน้ำมันดิบรัสเซียออกจากตลาดมากจนทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น และเศรษฐกิจตะวันตกจะได้รับผลกระทบ และรัสเซียเห็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากน้ำมันทุกชนิดที่ทำได้ แม้ฝ่าฝืนมาตรการคว่ำบาตร

ในเวลานั้น รัสเซีย ผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 2 ของโลก ได้เปลี่ยนเส้นทางการผลิตน้ำมันจำนวนมากไปยังอินเดีย จีน และประเทศอื่นๆ ในเอเชีย โดยขายในราคาที่มีส่วนลดจำนวนมาก หลังจากที่ลูกค้าชาวตะวันตกรังเกียจที่จะซื้อน้ำมัน เนื่องจากสหภาพยุโรปจะสั่งห้าม

คลาวดิโอ กาลิมเบอตี้ รองประธานอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ของ Rystad Energy กล่าวว่า มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับตลาดน้ำมันดิบทั่วโลกที่น้ำมันของรัสเซียยังคงหาตลาดที่จะขายหลังจากการห้ามของสหภาพยุโรปมีผลบังคับใช้ และหากไม่มีสิ่งนั้นราคาน้ำมันในตลาดโลกจะพุ่งสูงขึ้น”

เพดานราคาที่แตกต่างกันจะมีผลอย่างไร

เพดานราคาคาดว่าจะอยู่ในช่วง 65-70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และอาจทำให้รัสเซียขายน้ำมันต่อไปได้ ในขณะเดียวกันก็รักษารายได้ให้อยู่ในระดับปัจจุบัน เพราะน้ำมันของรัสเซียซื้อขายกันที่ประมาณ 63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นส่วนลดที่มาก เมื่อเทียบกับราคาอ้างอิงระหว่างประเทศ

ส่งเพดานที่ตกลงมาอยู่ที่ประมาณ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะเป็นเรื่องยากสำหรับรัสเซียสำหรับการจัดทำงบประมาณของรัฐให้สมดุล โดยเชื่อว่ารัสเซียต้องใช้เงินประมาณ 60-70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในการทำเช่นนั้น ซึ่งเรียกว่า “จุดคุ้มทุนทางการคลัง”

อย่างไรก็ตาม เพดานราคาที่ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะยังคงสูงกว่าต้นทุนการผลิตของรัสเซียที่อยู่ระหว่าง 30-40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งทำให้รัสเซียมีแรงจูงใจในการขายน้ำมันต่อไป และอาจหลีกเลี่ยงการปิดบ่อเริ่มใหม่ได้ยาก

จะเกิดอะไรขึ้นถ้ารัสเซียและประเทศอื่นๆ ไม่เข้าร่วม?

รัสเซีย ประกาศว่าจะไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดราคานี้ และจะหยุดการส่งมอบไปยังประเทศต่างๆ ที่ทำเช่นนั้น เพราะเพดานราคาส่งออกที่ต่ำกว่าระดับ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อาจมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองดังกล่าว หรือรัสเซียอาจหยุดการส่งก๊าซธรรมชาติลอตสุดท้ายที่เหลืออยู่ไปยังยุโรป

ส่วนจีนและอินเดียอาจไม่ทำตามข้อกำหนดนี้ โดยจีนสามารถจัดตั้งบริษัทประกันภัยของตนเองเพื่อทดแทนบริษัทที่สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และยุโรปกีดกัน

กาลิมเบอตี้ กล่าวว่าจีนและอินเดียกำลังเพลิดเพลินกับการใช้น้ำมันที่ลดราคาอยู่แล้ว และอาจไม่ต้องการทำให้รัสเซียแปลกแยก

“จีนและอินเดียได้รับน้ำมันดิบของรัสเซียในราคาส่วนลดมาก ดังนั้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องกำหนดราคาสูงสุดเพื่อรับส่วนลดต่อไป”

“ด้วยการปฏิบัติตามข้อกำหนดโดย G7 พวกเขา เสี่ยงต่อการทำให้รัสเซียแปลกแยก ด้วยเหตุนี้ เราเชื่อว่าการปฏิบัติตามราคาสูงสุดจะไม่สูง” กาลิมเบอร์ตี้ กล่าว

นอกจากนี้ รัสเซียยังสามารถหันไปใช้แผนการต่าง ๆ เช่น การถ่ายโอนน้ำมันจากเรือลำหนึ่งไปยังอีกลำหนึ่งเพื่อปลอมแปลงแหล่งกำเนิด และผสมน้ำมันกับน้ำมันชนิดอื่นเพื่อหลบเลี่ยงคำสั่งห้าม ดังนั้นคงต้องติดตามกันต่อไปว่าเพดานราคานี้จะมีผลกระทบอย่างไร

แล้วชาติต่างๆ ในอียูจะทำอย่างไร

ผลกระทบที่ใหญ่ที่สุดจากการคว่ำบาตรของสหภาพยุโรปอาจไม่ได้เกิดขึ้นในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ เนื่องจากยุโรปพบซัพพลายเออร์รายใหม่และเปลี่ยนเส้นทางนำเข้าน้ำมันของรัสเซีย

แต่ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ เมื่อยุโรปออกคำสั่งห้ามเพิ่มเติมสำหรับผลิตภัณฑ์โรงกลั่นที่ทำจากน้ำมัน เช่น น้ำมันดีเซล ยุโรปจะต้องหันไปหาวัสดุทางเลือกจากสหรัฐฯ ตะวันออกกลาง และอินเดีย ซึ่งจะต้องมีทางลัด แต่สิ่งนี้จะส่งผลให้ราคาสูงมาก

ในเวลาที่ยุโรปยังมีรถยนต์จำนวนมากที่ใช้น้ำมันดีเซล นอกจากนี้ เชื้อเพลิงสำหรับการขนส่งทางรถบรรทุกเพื่อส่งสินค้าจำนวนมากไปยังผู้บริโภคและใช้เครื่องจักรกลการเกษตร ดังนั้น ต้นทุนที่สูงขึ้นเหล่านี้จะกระจายไปทั่วระบบเศรษฐกิจยุโรป