การขายหุ้น TSMC ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ตอกย้ำความตกต่ำของอุตสาหกรรมชิป

วอร์เรน บัฟเฟตต์ ขายหุ้น TSMC
วอร์เรน บัฟเฟตต์

การขายหุ้น TSMC ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ หลังจากซื้อมาเพียงไม่กี่เดือน เป็นการตอกย้ำความตกต่ำของอุตสาหกรรมชิปในปีนี้ที่ต่อเนื่องมาจากครึ่งหลังของปีที่แล้ว และมีคาดการณ์ว่ากว่าจะฟื้นได้ อย่างเร็วก็ต้องรอถึงครึ่งหลังของปีนี้ 

กลางเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว มีข่าวออกมาว่าบริษัท Berkshire Hathaway Inc. ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) นักลงทุนระดับโลก ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing (TSMC) มูลค่า 4,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้ Berkshire Hathaway Inc. เข้าไปเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ TSMC โดยการซื้อเกิดขึ้นก่อนหน้าที่จะมีข่าวประมาณ 2 เดือน 

แน่นอนว่าเมื่อมีข่าวว่าไอดอลของนักลงทุนทั่วโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ลงทุนในบริษัทไหนก็จะสร้างแรงกระเพื่อมในตลาดอย่างมาก นักลงทุนจะต้องวิ่งเข้าใส่หุ้นตัวนั้นตาม ซึ่งในตอนนั้นข่าวของปู่วอร์เรนทำให้หุ้น TSMC ราคาพุ่งขึ้นไปถึง 40% 

ผ่านมาเพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่เปิดเผยสัดส่วนการถือหุ้น ล่าสุดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 มีข่าวว่า Berkshire Hathaway Inc. เปิดเผยในรายงานที่ยื่นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (U.S. Securities and Exchange Commission) ว่า บริษัทได้ลดสัดส่วนการถือหุ้น TSMC ลง 86% ในไตรมาสที่ผ่านมา 

หมายความว่า เขาขายหุ้นออกไปภายในเดือนธันวาคม 2565 หรือเพียงไม่กี่วันหลังจากที่เปิดเผยข่าวการซื้อหุ้น และไม่เกิน 3 เดือนนับจากช่วงที่ซื้อหุ้นมาถือครอง 

หลังจากมีข่าวนี้ออกมา ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ราคาหุ้นของ TSMC ก็ลดลง 4% 

การเทขายหุ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาไตรมาสเดียวของนักลงทุนสาย VI ตัวพ่ออย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นเรื่องน่าแปลกใจ เพราะโดยปกติแล้วบัฟเฟตต์จะถือหุ้นในระยะยาวและซื้อเข้าสะสมในพอร์ตเพิ่มเรื่อย ๆ  

เมื่อเขาถือหุ้น TSMC แล้วขายในช่วงเวลาสั้น ๆ จึงชวนให้นักลงทุนแตกตื่น และนี่เป็นการตอกย้ำถึงอนาคตที่ไม่สดใสของอุตสาหกรรมชิปในปีนี้ ซึ่งมีช่วงเวลาที่ไม่ดีต่อเนื่องมาจากช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว เนื่องจากความต้องการซื้อสินค้าเทคโนโลยีลดลงทั่วโลก ส่งผลให้ซัพพลายล้น

มูลค่าตามราคาตลาดของบริษัทชิประดับโลก 10 อันดับแรกรวมกัน ลดลง 34% ในช่วงปี 2565 จากมูลค่า 2.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน 2564 เหลือ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน 2565 และดัชนี Philadelphia Semiconductor Index เมื่อสิ้นปี 2565 ลดลง 37% จากเดือนมกราคมต้นปี 

สำหรับ TSMC ซึ่งมีโรงงานและมีลูกค้าในประเทศจีน เจอปัจจัยลบเรื่องความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกา-ไต้หวันกับจีนมาบวกอีก 

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2566 TSMC ประกาศผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2565 ซึ่งรายได้และกำไรในรูปเงินดอลลาร์ไต้หวันเพิ่มขึ้นมาก โดยได้รับอานิสงส์จากอัตราแลกเปลี่ยน แต่รายรับไตรมาสที่ 4 ปี 2565 ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐอยู่ที่ 19,930 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 26.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ลดลง 1.5% จากไตรมาสก่อนหน้า 

ด้วยสถานการณ์ภาพรวมของอุตสาหกรรมที่เห็นแนวโน้มว่าจะไม่ดี TSMC จึงลดงบฯลงทุนลง โดยคาดว่า งบฯลงทุนในปี 2566 จะอยู่ระหว่าง 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึง 36,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งลดลงจากปี 2565 ที่ตั้งไว้ 36,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

ในตอนนั้น เวนเดลล์ หวง (Wendell Huang) รองประธานบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ TSMC ยอมรับว่า ธุรกิจของ TSMC ในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 ได้รับผลกระทบจากความต้องการซื้อในตลาดปลายน้ำที่ลดลง และการปรับจำนวนสินค้าคงคลังในระบบของลูกค้าในขั้นกลางน้ำ และเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 1 ปี 2566 เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจมหภาคโดยรวมยังคงอ่อนแอ จึงคาดว่าธุรกิจจะได้รับผลกระทบมากขึ้น 

เว่ย ฉงชิ่ง (C.C. Wei) ซีอีโอ TSMC กล่าวว่า บริษัทคาดการณ์ว่าวัฏจักรเซมิคอนดักเตอร์จะถึงจุดต่ำสุดในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และจะเห็นการฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี โดยการฟื้นตัวจะได้รับแรงหนุนจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น สินค้าที่รองรับปัญญาประดิษฐ์  

Bloomberg วิเคราะห์ว่า เมื่อปลายปีที่แล้วดูเหมือนจะเป็นจังหวะที่ดีในการซื้อหุ้น TSMC สำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่า เนื่องจาก Forward P/E อยู่ที่ 10.3 เท่าในเดือนตุลาคม ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2558 ก่อนที่จะดีดกลับขึ้นไปเกือบ 14 เท่าในเดือนพฤศจิกายน และราคาหุ้น TSMC ยังเพิ่มขึ้นอีกเมื่อเดือนที่แล้ว แม้ว่าบริษัทประกาศแผนลดงบฯลงทุนลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี 

แม้ว่าจะได้รับผลกระทบในระยะสั้นจากข่าวการขายหุ้นของบัฟเฟตต์ แต่บริษัทหลักทรัพย์ Taishin Securities Investment Advisory Co. วิเคราะห์ว่า แนวโน้มระยะยาวของ TSMC ยังคงเป็นบวก นักลงทุนจำนวนมากยังคงเพิ่มการลงทุน เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้น รวมถึงอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ดีขึ้น และบทบาทความเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง