รัฐบาลจีนประกาศเป้าเศรษฐกิจปีนี้ไว้ที่เติบโต 5% ประกาศจะระดมทรัพยากรทั้งหมดของประเทศ และระดมความร่วมมือของภาคธุรกิจในการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้จีนพึ่งพาตนเองได้ และเอาชนะสหรัฐในสงครามเทคโนโลยี
ในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (National People’s Congress : NPC) ประจำปี 2566 ที่เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2566 มีหลายวาระ หลายเรื่อง หลายเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น ทั้งการประกาศเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจ แผนการทำงานของรัฐบาล นโยบายในด้านต่าง ๆ ฯลฯ
ปีนี้รัฐบาลจีนประกาศเป้าหมายการเติบโตของจีดีพีไว้ที่ +5% ซึ่งไม่ได้เป็นตัวเลขที่สูงหากเทียบกับค่าเฉลี่ยการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในช่วงก่อนโควิด-19 แต่ก็เป็นตัวเลขที่สูงกว่าภาพรวมของเศรษฐกิจโลกและประเทศเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ
Global Times สื่อของรัฐบาลจีนรายงานว่า รัฐบาลจีนตั้งเป้าโต 5% โดยประเมินจากการฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจหลังจากประกาศยกเลิกมาตรการปลอดโควิด (Zero Covid Policy) ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนก็ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การเติบโตอย่างมีคุณภาพ และการพัฒนาที่ยั่งยืน ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์
หลี่ เค่อเฉียง (Li Keqiang) นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันรายงานต่อสภาประชาชนแห่งชาติเมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคมว่า สิ่งที่จีนต้องให้ความสำคัญที่สุดในปีนี้คือ การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และติดตามการฟื้นตัว-เติบโตของเศรษฐกิจไปพร้อมกัน
นักวิเคราะห์มองว่า แม้ว่าเป้าหมายการเติบโต 5% จะเป็นเป้าที่ต่ำที่สุดในรอบหลายสิบปี แต่ตัวเลขนี้ก็ยังทำให้จีนจะยังคงเป็นหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจหลักที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกถูกคาดการณ์อย่างกว้างขวางว่าจะชะลอตัวลงอีกในปีนี้ และประเทศเศรษฐกิจหลักอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปกำลังต่อสู้กับความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนกล่าวว่า เศรษฐกิจของประเทศจีนซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก มีแนวโน้มที่จะดีกว่าเป้าหมาย แม้ว่าจะเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายจากภายนอกหลายอย่าง ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว มีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคง และมีเครื่องมือเชิงนโยบายที่เพียงพอต่อการจัดการกับความเสี่ยงและความท้าทายที่ต้องเผชิญ
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) รัฐบาลจีนให้คำมั่นว่าจะรวบรวมทรัพยากรทั้งหมดของประเทศเข้าด้วยกัน เพื่อให้จีนพึ่งพาตนเองในด้านเทคโนโลยีให้ได้ และเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะปกป้องรักษาความก้าวหน้าที่สำคัญในด้านต่าง ๆ ที่จีนมีเอาไว้เป็นอย่างดี (เช่น เซมิคอนดักเตอร์) ท่ามกลางความตึงเครียดกับสหรัฐที่ขยายเพิ่มระดับขึ้น
ในการนำเสนอรายงานการทำงานของรัฐบาลต่อสภา นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ที่กำลังจะลงจากตำแหน่งได้ย้ำถึงข้อเรียกร้องให้มี “ยุทธศาสตร์ทั้งประเทศ” เพื่อให้จีนก้าวล้ำหน้าสหรัฐในด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานและเทคโนโลยีขั้นสูง
“ควรมีการปรับปรุงพัฒนาระบบใหม่สำหรับการระดมทรัพยากรทั่วประเทศ … เราควรใช้ประโยชน์จากบทบาทของรัฐบาลในการรวบรวมทรัพยากรเพื่อสร้างความก้าวหน้าที่สำคัญทางเทคโนโลยี และองค์กรภาคธุรกิจควรเป็นผู้เล่นหลักในการสร้างนวัตกรรม” หลี่ เค่อเฉียงกล่าว
คำปราศรัยต่อสภาของนายกรัฐมนตรีจีน รวมถึงเสียงเรียกร้องจากประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เมื่อเร็ว ๆ นี้ ส่งสัญญาณให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของผู้นำระดับสูงที่ต้องการจะทำลายจุดอ่อน เพื่อชิงความได้เปรียบในสงครามเทคโนโลยีกับสหรัฐ ซึ่งจุดอ่อนของจีนในกรณีนี้คือ เทคโนโลยีหลักในการผลิตชิป และเทคโนโลยีในการผลิตเครื่องยนต์ไอพ่น (jet engine) ซึ่งจีนขาดแคลน ขณะที่สหรัฐและประเทศอื่น ๆ ครอบครองอยู่
นายกฯ หลี่กล่าวว่า จีนควรสนับสนุนให้เอกชนร่วมมือกันดำเนินการในแผนแม่บทและโครงการต่าง ๆ ที่สำคัญของรัฐบาล ที่มุ่งแก้ไขจุดอ่อนของประเทศ เพื่อตอบโต้ความพยายามจากภายนอกในการสกัดการพัฒนาของจีน ซึ่งทำได้ผลในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จีนควรจะรวบรวมทรัพยากรที่มีคุณภาพและใช้ความพยายามร่วมกันเพื่อบรรลุความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในสาขาที่สำคัญในอนาคต
ในช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ จีนได้ทุ่มลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมชิปอย่างหนัก แต่ก็เกิดผลลัพธ์ตามเป้าหมายเพียงเล็กน้อย ด้วยความที่บริษัทระดับประเทศต่างโดนกีดกันและขึ้นบัญชีดำจากสหรัฐ อย่าง Huawei และ Semiconductor Manufacturing International Corp. (SMIC) ต้องพยายามดิ้นรนในการพัฒนาเทคโนโลยีชิปหลังจากโดนสหรัฐขึ้นบัญชีดำ ขณะที่บริษัท Yangtze Memory Technologies Co. ซึ่งเป็นบริษัทที่เก่งที่สุดของจีนในด้านการผลิตชิปหน่วยความจำสำหรับสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ ก็ประสบปัญหาการขยายกำลังการผลิตหลังจากโดนสหรัฐคว่ำบาตร แม้ว่าจะได้รับทุนจากรัฐบาลเพิ่มเติมก็ตาม
เมื่อปีที่แล้ว สี จิ้นผิง พยายามจะสู้สหรัฐโดยสั่งให้พรรคคอมมิวนิสต์ควบคุมวาระงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศให้มากขึ้น เป็นการปูทางไปสู่การสร้างผู้ควบคุมที่มีอำนาจมากยิ่งขึ้น เพื่อควบคุมอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์
และเมื่อเร็ว ๆ นี้ และผู้เชี่ยวชาญชั้นนำของจีน 2 คนได้เขียนบทความแนะนำรัฐบาลว่า ควรจะสร้างสิทธิบัตรของจีนเกี่ยวกับการผลิตชิปรุ่นต่อไปไว้ในพอร์ตโฟลิโอของตัวเองจำนวนมาก ๆ ซึ่งจะทำให้จีนบรรลุความทะเยอทะยานด้านการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ และมีกำลังตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐที่ออกแบบมาเพื่อตัดมือตัดเท้าเซมิคอนดักเตอร์จีนด้วย