ปัญหา “เงินฝืด” ที่ฉุดรั้งญี่ปุ่น ขึ้นค่าจ้างก็แก้ไม่ได้ ต้องกระตุ้นคนสูงวัยใช้จ่ายเคลื่อนเศรษฐกิจ

ญี่ปุ่น
ตลาดคุโรมง เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น (ภาพโดย Yuichi YAMAZAKI / AFP)

แม้ว่าปีนี้ญี่ปุ่นขึ้นค่าจ้างเฉลี่ยมากที่สุดในรอบ 30 ปี แต่มีการวิเคราะห์ว่าการขึ้นค่าจ้างคนทำงานยังไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหา “เงินฝืด” ที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจญี่ปุ่นมานานสามทศวรรษ หากไม่สร้างความมั่นใจให้ “คนสูงวัย” นำเงินออกมาจับจ่ายใช้สอยมากกว่านี้

ประเทศญี่ปุ่นประสบปัญหาเงินฝืดมาสองทศวรรษ แม้แต่ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาที่ทั่วโลกประสบปัญหาเงินเฟ้อสูงรุนแรง อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นก็ยังไม่ได้สูงมากเหมือนประเทศอื่น ๆ แถมเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นยังเป็นเงินเฟ้อจากฝั่งต้นทุน หาใช่เงินเฟ้อจากความต้องการอุปโภค-บริโภคสูงขึ้น 

แม้ว่าญี่ปุ่นพยายามกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยการปรับขึ้นค่าจ้างของคนทำงาน แต่การขึ้นค่าจ้างสำหรับคนทำงานนั้นไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาเงินฝืดสำเร็จ เพราะนับวันญี่ปุ่นก็ยิ่งมีคนวัยทำงานน้อยลง และมีคนสูงวัยมากขึ้น ดังนั้น การกระตุ้นให้ผู้สูงอายุจับจ่ายใช้สอยจึงสำคัญอย่างยิ่ง หากญี่ปุ่นต้องการหลีกหนีจากภาวะเงินฝืด 

ในปี 2020 ญี่ปุ่นมีประชากรสูงวัยหรือผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปคิดเป็น 28.6% ของประชากรในประเทศ สัดส่วนนี้สูงกว่าในประเทศพัฒนาแล้วด้วยกันอยู่มาก ขณะที่ในเยอรมนีมีคนอายุ 65 ปีขึ้นไปคิดเป็นสัดส่วน 21.7% ของประชากร ในสหรัฐอเมริกาคิดเป็นสัดส่วน 16.6% และในเกาหลีใต้คิดเป็นสัดส่วน 15.8%

สัดส่วนการบริโภคของผู้สูงอายุใน “การบริโภคส่วนบุคคล” (personal consumption) ของญี่ปุ่น เพิ่มขึ้นมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในปี 2022 การใช้จ่ายรายเดือนของครัวเรือนที่มีคนอายุ 65 ปีขึ้นไปเป็นผู้นำครอบครัวใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 211,780 เยน (ประมาณ 51,400 ตามอัตราแลกเปลี่ยนวันที่ 20 สิงหาคม 2023) คิดเป็นประมาณ 39% ของยอด “การบริโภคส่วนบุคคล” ทั่วประเทศ 

สัดส่วนดังกล่าวนี้เพิ่มขึ้นจากประมาณ 23% เมื่อ 20 ปีก่อนหน้านั้น (ปี 2002) และสัดส่วนการใช้จ่ายของผู้สูงอายุในญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นต่อไปตามสัดส่วนของผู้สูงวัยต่อประชากรที่จะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต  

ADVERTISMENT

จากการประมาณการของ ทาคูยะ โฮชิโน (Takuya Hoshino) นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัย Dai-ichi Life Research Institute พบว่า 1 ใน 3 ของการบริโภคทั้งหมดของญี่ปุ่นในปี 2022 เกิดขึ้นในหมู่ครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุว่างงานอายุเฉลี่ย 74.5 ปี ซึ่งเป็นผู้รับบำนาญ 

การบริโภคภาคเอกชน (private consumption) คิดเป็นประมาณ 50% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของญี่ปุ่นซึ่งมีมูลค่า 556 ล้านล้านเยน (ประมาณ 135 ล้านบาท ตามอัตราแลกเปลี่ยนวันที่ 20 สิงหาคม 2023) ในปี 2022 

ADVERTISMENT

ดังนั้น 15% ของจีดีพีของญี่ปุ่นจึงมาจากการบริโภคของครัวเรือนซึ่งมีผู้สูงวัยที่รับเงินบำนาญเป็นหัวหน้าครอบครัว 

ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (core CPI) ของญี่ปุ่น เพิ่มขึ้นมากกว่า 3% เป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกันในเดือนมิถุนายน 2023 ที่ผ่านมา ขณะที่ปรับขึ้นค่าจ้างในระหว่างการเจรจาปรับปรุงเงื่อนไขด้านแรงงานประจำฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม) ปีนี้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.58% นับเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 30 ปี อิงตามข้อมูลของ Rengo ซึ่งเป็นสมาพันธ์สหภาพแรงงานที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น 

อย่างไรก็ตาม การขึ้นค่าจ้างไม่ได้ให้ประโยชน์ต่อคนเกษียณที่รับเงินบำนาญ ซึ่ง “มูลค่าที่แท้จริง” ของเงินบำนาญที่พวกเขาได้รับนั้นลดลง 

ในปีงบประมาณ 2023 ชาวญี่ปุ่นที่มีสิทธิรับเงินบำนาญได้รับการจ่ายเงินบำนาญเพิ่มขึ้น 1.9% จากปีก่อนหน้า เป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 3 ปี แต่เนื่องจากสวัสดิการเงินบำนาญถูกออกแบบมาไม่ให้เพิ่มขึ้นเร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งทางการญี่ปุ่นคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 2023 ไว้ที่ 2.5% ดังนั้น มูลค่าที่แท้จริงของเงินที่ผู้รับบำนาญได้รับจึงลดลง 

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ครัวเรือนญี่ปุ่นที่มีผู้สูงอายุเป็นผู้นำครอบครัวนั้นโดยทั่วไปมักจะมีทรัพย์สินทางการเงินเพียงพอ กล่าวคือ ครัวเรือนที่มีคนสูงวัยเป็นผู้นำครอบครัวนั้นมีเงินมากกว่าครัวเรือนวัยทำงานอยู่แล้ว 

อิงตามข้อมูลจากการสำรวจของรัฐบาลญี่ปุ่นในปี 2019 ที่พบว่า คู่สมรสและผู้ว่างงานที่มีอายุมากกว่า 65 ปี มีทรัพย์สินทางการเงินเฉลี่ย 19.15 ล้านเยน ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของครัวเรือนทั้งหมดในประเทศอยู่ 6.36 ล้านเยน 

โดยเกือบ 70% ของสินทรัพย์ทางการเงินทั้งหมดที่ครัวเรือนซึ่งมีคนอายุ 65 ปีขึ้นไปเป็นเจ้าของนั้นจะอยู่ในรูปของเงินสดและเงินฝากธนาคาร ซึ่งมีมูลค่าลดลงเมื่อราคาสินค้าสูงขึ้น 

ปัญหาหลักของญี่ปุ่นคือผู้สูงอายุไม่กล้าใช้เงิน เพราะกังวลเรื่องอนาคต เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่สำหรับค่าครองชีพและค่ารักษาพยาบาลตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ 

ดังนั้น เพื่อจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นจึงต้องพยายามทำให้คนสูงวัยไม่ต้องกังวลกับอนาคต สร้างความมั่นใจให้คนสูงวัยกล้านำเงินเก็บที่มีอยู่ออกมาใช้มากกว่านี้ 

อ้างอิง : Nikkei Asia 

อ่านเนื้อหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง