
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจ ผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเอกฉันท์เมื่อวันที่ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา ตรึงดอกเบี้ยไว้ระดับเดิมที่ 5.25-5.5% นับเป็นการตรึงครั้งที่ 3 ติดต่อกัน เป็นไปตามที่ตลาดคาดหมาย ทำให้เกิดความคาดหวังในวงกว้างว่านี่อาจเป็นการสิ้นสุดวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ย หลังจากก่อนหน้านี้เฟดได้ขึ้นดอกเบี้ยถึง 11 ครั้ง จนดอกเบี้ยสูงที่สุดในรอบ 22 ปี
นอกจากคงดอกเบี้ยแล้ว คณะกรรมการยังส่งสัญญาณว่าอาจมีการลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปี 2024 ตามด้วย หั่นอีก 4 ครั้งในปี 2025 และอีก 3 ครั้งในปี 2026 ทำให้สุดท้ายดอกเบี้ยจะปรับลงไปอยู่ในช่วง 2-2.25%
หลังจากทราบผลการประชุมและหลังจาก “เจอโรม พาวเวลล์” ประธานเฟด แถลงข่าว ตลาดตีความว่าเฟดอาจหั่นดอกเบี้ยมากกว่านั้นในปี 2024 หรืออาจปรับลดถึง 1.5% ขณะเดียวกันถ้อยแถลงของคณะกรรมการที่ระบุว่า จะใช้ปัจจัยหลายอย่างมาพิจารณาร่วมสำหรับการ “เพิ่มความเข้มงวดใด ๆ ด้านนโยบาย” ซึ่งเป็นคำที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำให้เป็นเหมือนสัญญาณว่าจะไม่มีการขึ้นดอกเบี้ยอีกแล้ว
การคงอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่สดใสขึ้น หลังจากเคยพุ่งสูงรอบ 40 ปี เนื่องจากเงินเฟ้อผ่อนคลายลง โดยเฟดประเมินว่าเงินเฟ้อปี 2023 จะอยู่ที่ 3.2% ปี 2024 อยู่ที่ 2.4% ปี 2025 อยู่ที่ 2.2% และจะเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% ในปี 2026 ทั้งนี้ พาวเวลล์ระบุว่า เป็นข่าวดีมาก ๆ ที่เงินเฟ้อปรับลงมาจากจุดสูงสุด และไม่ก่อให้เกิดการว่างงานอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะเดียวกันข้อมูลเศรษฐกิจที่เผยแพร่ออกมาในสัปดาห์เดียวกัน แสดงให้เห็นว่าทั้งดัชนีราคาผู้บริโภคและขายส่งในเดือนพฤศจิกายนแทบไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งนักวิเคราะห์บางรายชี้ว่า หากวัดด้วยมาตรการบางอย่างเท่ากับว่าเฟดเข้าใกล้เป้าหมายเงินเฟ้อ 2% แล้ว
ในด้านอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ แถลงการณ์ของคณะกรรมการระบุว่า “ชะลอตัวลง” หลังจากก่อนหน้านี้เคยกล่าวว่า เศรษฐกิจ “ขยายตัวในอัตราแข็งแกร่ง” ส่วนประธานเฟดกล่าวระหว่างการแถลงต่อสื่อมวลชนว่า ตัวชี้วัดเศรษฐกิจบ่งบอกว่ากิจกรรมเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างมากจากที่เติบโตมากเกินไปในไตรมาส 3 ถึงกระนั้น จีดีพีก็อยู่ในเส้นทางที่จะขยายตัวได้ 2.5% ตลอดปี 2023
คณะกรรมการยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์จีดีพีปี 2023 เป็น 2.6% เพิ่มขึ้น 0.5% จากคาดการณ์ครั้งก่อนหน้า ส่วนปี 2024 คาดว่าจะเติบโต 1.4% ไม่เปลี่ยนแปลงจากครั้งก่อนหน้า อัตราว่างงาน 3.8% ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนปี 2024 เป็นต้นไป คาดว่าการว่างงานจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.1%
มติของเฟดในการตรึงดอกเบี้ยและส่งสัญญาณจะลดดอกเบี้ยหลายครั้งในปีหน้า สร้างความพอใจให้กับนักลงทุน ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์พุ่งทะยาน 512.30 จุด หรือ 1.4% ปิดตลาดที่ 37,090.24 จุด และเป็นครั้งแรกที่ปิดเหนือ 37,000 จุด ทุบสถิติครั้งก่อนหน้าที่เคยทำไว้ ในส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ก็สามารถปิดตลาดเหนือระดับ 4,700 จุด เป็นครั้งแรกนับจากเดือนมกราคม 2022 โดยเพิ่มขึ้น 1.37% ปิดที่ 4,707.09 จุด แนสแดคปิดที่ 14,733.96 จุด เพิ่มขึ้น 1.38%
นอกจากนี้ทั้งสามดัชนีหลักดังกล่าวยังทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 52 สัปดาห์ และหากนับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน เท่ากับว่าดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 11.9% เอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 22.6% และแนสแดค 40.8%
คำกล่าวของประธานเฟด ไม่ว่าจะเป็นการบอกว่า “การขึ้นดอกเบี้ยไม่ใช่กรณีพื้นฐานอีกต่อไป” หรือการบอกว่าเงินเฟ้อมีความคืบหน้า และการส่งสัญญาณว่าเฟดเต็มใจจะลดดอกเบี้ยแม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2024 ทำให้นักวิเคราะห์ตีความว่า การขึ้นดอกเบี้ยจบแล้ว และเข้าสู่รอบที่จะเริ่มลดดอกเบี้ย
กีนา โบลวิน ประธานโบลวิน เวลธ์ แมเนจเมนต์ กรุ๊ป กล่าวว่า ในที่สุดเฟดก็มอบของขวัญล่วงหน้าให้กับวันหยุดพักผ่อนที่กำลังจะมาถึง “เป็นครั้งแรกที่เฟดเอ่ยถึงเงินเฟ้อในแง่บวก เฟดเคลื่อนไหวในทิศทางที่สอดคล้องกับตลาด มากกว่าตลาดเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเฟด ซานต้าแรลลี่ อาจจะดำเนินต่อไป” โบลวินระบุ