
ตลาดหุ้นจีนจบปี 2023 ด้วยสถานะหนึ่งใน Worst Performer ของโลก (หนึ่งในนั้นคือไทย) และใน 3 ปีล่าสุด หุ้นจีนสูญเสียมูลค่าไป 6 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 214.36 ล้านล้านบาท ดัชนี CSI 300 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นใหญ่สุด 300 ตัวในตลาดหุ้นจีนดิ่งลงถึง 40%
แม้รัฐบาลจีนพยายามจะหาทางฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนมาอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะเศรษฐกิจจีนเผชิญปัจจัยลบมากมาย ทั้งภาวะถดถอยในภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาวะเงินฝืด หนี้ของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อัตราการเกิดที่ลดลง จำนวนแรงงานที่ลดลง การเปลี่ยนแปลงนโยบายไปสู่นโยบายที่ขับเคลื่อนด้วยอุดมการณ์ทางการเมือง ซึ่งสั่นคลอนภาคธุรกิจ และทำให้บริษัทต่างชาติหวาดกลัวกับนโยบายที่ไม่แน่นอนหรือไม่เป็นมิตร
ปี 2024 ตลาดหุ้นจีนยังคงเริ่มต้นปีด้วยการเป็นตลาดที่ทำผลงานแย่ที่สุดอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางบรรยากาศอันสดใสของตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นญี่ปุ่น
…และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้รัฐบาลจีนนั่งไม่ติด
เมื่อวันจันทร์ที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง (Li Qiang) ของจีน สั่งให้เจ้าหน้าที่ใช้ “มาตรการที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพ” เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาด
อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกันนั้น ธนาคารกลางของจีน (PBOC) ไม่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อลูกหนี้ชั้นดี (Loan Prime Rate) ลงตามที่มีการคาดการณ์ แม้ว่าจีนจะอยู่ในภาวะเงินฝืดและตลาดหุ้นต้องการแรงหนุนอย่างมากก็ตาม เพราะในเวลาเดียวกัน ธนาคารกลางก็ห่วงค่าเงินหยวน จึงต้องคงดอกเบี้ยพยุงค่าเงินเอาไว้ก่อน
นักวิเคราะห์ของโนมูระกล่าวในวันเดียวกันนั้นว่า มีความสับสนเพิ่มมากขึ้นว่ารัฐบาลจีนมีจุดยืนทางนโยบายอย่างไรต่อเศรษฐกิจ
จากนั้น มีการรายงานข่าวโดย “บลูมเบิร์ก” (Bloomberg) เมื่อวันที่ 23 มกราคมว่า รัฐบาลจีนกำลังพิจารณามาตรการพยุงตลาดครั้งใหญ่ คือ การตั้งกองทุนมูลค่า 2 ล้านล้านหยวนสำหรับพยุงตลาด โดยการนำเงินทุนนี้ไปซื้อหุ้นจีน หวังฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน
เงินในกองทุน 2 ล้านล้านหยวนนี้ส่วนใหญ่จะมาจากบัญชีต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจจีน ซึ่งส่วนนี้จะนำไปซื้อหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง อีกส่วนหนึ่งประมาณ 300,000 ล้านหยวน จัดหามาจากภายในประเทศจะใช้สำหรับซื้อหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในจีนแผ่นดินใหญ่
ณ วันที่ 25 มกราคม ข่าวนี้ยังคงเป็นแค่ข่าว ยังไม่มีการประกาศหรือยืนยันจากรัฐบาลจีน แต่เพียงแค่ข่าวก็เพียงพอที่จะช่วยหุ้นจีนได้มาก เพราะทันทีที่มีข่าว ตลาดก็ตอบรับเชิงบวก โดยในวันที่ 23-25 มกราคม หุ้นจีนบวกติดต่อกันทั้งสามวัน รวมถึงหุ้นจีนที่ซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐก็บวกเช่นกัน
เคน จาง (Ken Cheung) หัวหน้านักกลยุทธ์ฟอเร็กซ์เอเชียของ “มิซูโฮ แบงก์” (Mizuho Bank) วิเคราะห์ว่า หากข่าวลือนี้พิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง อาจเกิดกระแสการซื้อเงินหยวนขนาดใหญ่ และเขาเชื่อว่าการที่ธนาคารกลางจีนตัดสินใจที่จะไม่ลดอัตราดอกเบี้ยนั้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เงินหยวนอ่อนค่าลงอีก
นอกจากนั้น อีกหนึ่งแรงหนุนมาจากการที่ธนาคารกลางจีนประกาศปรับลดอัตราส่วนเงินสำรองขั้นต่ำ (Required Reserve Ratio : RRR) ของธนาคารพาณิชย์ลง 0.50% เมื่อวันที่ 24 มกราคม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ทั้งข่าวที่ว่าจีนกำลังพิจารณาตั้งกองทุนพยุงตลาดหุ้นและการที่ PBOC ปรับลด RRR ลงอย่างกะทันกัน แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลวิตกกังวลมากขึ้น ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบเกือบหนึ่งทศวรรษที่รัฐบาลจีนแสดงความกังวลอย่างมากต่อตลาดหุ้น นับตั้งแต่ปี 2015 ที่เกิดวิกฤตฟองสบู่หุ้นจีนแตก
ถึงแม้ว่าข่าวการตั้งกองทุนพยุงหุ้นที่ออกมานี้จะช่วยตลาดหุ้นจีนได้ แต่ยังคงเป็นคำถามว่า มาตรการนี้จะกระตุ้นการฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืนแค่ไหน