
เผยแพร่ 14 กุมภาพันธ์ เวลา 14.55 น. ปรับปรุงล่าสุด 23.00 น.
เป็นข้อเท็จจริงที่ว่า ในการเลือกตั้งของอินโดนีเซีย ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะพิจารณาที่ตัวบุคคลมากกว่า “นโยบาย” ดังนั้น ประวัติความเป็นมาของแต่ละคนจึงสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะประวัติครอบครัว เครือข่ายความสัมพันธ์ทางเครือญาติและทางสังคม ที่สำคัญมากกว่าประวัติการศึกษาและการทำงานเสียอีก
การเลือกตั้ง 14 กุมภาพันธ์ 2024 นี้ ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการชี้ว่า ปราโบโว ซูเบียนโต (Prabowo Subianto) หัวหน้าพรรคเกอรินดรา (Gerindra) ผู้สมัครรับเลือกตั้งหมายเลข 2 ซึ่งมี กิบราน รากาบูมิง (Gibran Rakabuming) ลูกชายของโจโก วิโดโด (Joko Widodo) ลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี เป็น “ตัวเต็ง” ชนะเลือกตั้งแล้ว ด้วยคะแนนประมาณ 58% ของคะแนนทั้งหมด
“ประชาชาติธุรกิจ” ชวนทำความรู้จัก ปราโบโว ซูเบียนโต ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของอินโดนีเซีย
ปราโบโว ซูเบียนโต เกิดวันที่ 17 ตุลาคม 1951 เป็นอดีตนายทหาร และเป็นนักธุรกิจ ปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลโจโก วิโดโด

ปราโบโว ซูเบียนโต เกิดในตระกูลชนชั้นสูงของอินโดนีเซีย ซึ่งสืบเชื้อสายชนชั้นสูงมาหลายเจเนอเรชั่น พ่อของเขา ซูมิโตร โจโยฮาดิกูซูโม (Sumitro Djojohadikusumo) เป็นนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังซึ่งต่อมาเข้าสู่การเมือง โดยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงด้านเศรษฐกิจหลายกระทรวงในยุคสมัยรัฐบาลซูการ์โน (Sukarno)
ปู่ของเขา มาร์โกโน โจโยฮาดิกูซูโม (Margono Djojohadikusumo) มีคำนำหน้าชื่อ “ระเด่นมัส” (Raden Mas) ซึ่งเป็นคำเรียก “เจ้าชาย” ในภาษาชวา เป็นผู้ก่อตั้งธนาคารเนการา อินโดนีเซีย (Bank Negara Indonesia) ธนาคารของรัฐแห่งแรกของอินโดนีเซีย อีกทั้งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นเอกราชของอินโดนีเซีย (Investigating Committee for Preparatory Work for Independence)
ถึงแม้จะเป็นชนชั้นสูง แต่มีข้อมูลว่า มาร์โกโน โจโยฮาดิกูซูโม เคยบอกว่าครอบครัวของเขา “เป็นชนชั้นสูงที่ยากจน”

ปราโบโว มีพี่สาว 2 คน และน้องชาย 1 คน น้องชายของเขา คือ ฮะชิม โจโยฮาดิกูซูโม (Hashim Djojohadikusumo) เป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุดในอินโดนีเซีย
ในทศวรรษ 1960 ช่วงปลายยุคสมัยของประธานาธิบดีซูการ์โน พ่อของเขาแตกแยกกับซูการ์โน เป็นเหตุให้ถูกขับออกนอกประเทศ ปราโบโว และพี่น้องจึงเติบโตในต่างประเทศ ครอบครัวของเขาเคยพำนักทั้งในสิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร
ระหว่างปี 1966-1968 ที่ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในลอนดอน ปราโบโวเข้าเรียนและสำเร็จการศึกษาจาก เดอะ อเมริกันสกูล อิน ลอนดอน (The American School in London)
เมื่อกลับประเทศ ซูเบียนโตเข้าเรียนโรงเรียนทหารตามรอย “อา” ซึ่งเป็นวีรบุรุษสงครามที่สิ้นชีพในการต่อสู้กับญี่ปุ่น ผู้เป็นที่มาของชื่อ “ปราโบโว” ที่บิดาของซูเบียนโตนำชื่อของน้องชายผู้ล่วงลับมาตั้งชื่อลูกชายตนเอง
ปราโบโว ซูเบียนโต สำเร็จการศึกษาด้านทหารจากสถาบันการทหารอินโดนีเซีย ในปี 1974 แล้วเข้ารับราชการทหารอยู่เป็นเวลา 24 ปี มีบทบาทสำคัญ ๆ มากมายทั้งในทางบวกและทางลบ

ในเดือนมีนาคม 1998 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการกองกำลังพิเศษ Kostrad ที่มีกำลังพล 27,000 ราย แต่เพียงสองเดือนหลังจากนั้น ผู้นำเผด็จการซูฮาร์โตถูกประท้วง จนต้องยอมลงจากตำแหน่ง และในเดือนสิงหาคมปีนั้น ปราโบโว ซูเบียนโต ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ยุติอาชีพรับราชการทหาร จากนั้นเขาเดินทางออกไปพำนักอยู่นอกประเทศ และบทบาทหน้าที่ที่เขาทำในระหว่างเป็นทหาร ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นที่มาของการที่เขามีชื่อติดแบล็กลิสต์ที่สหรัฐอเมริกา
ด้านชีวิตครอบครัว ปราโบโว ซูเบียนโต แต่งงานกับ ติเตียก ซูฮาร์โต (Titiek Suharto) บุตรสาวของอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โต (Suharto) โดยแต่งงานกันในปี 1983 ขณะที่ซูฮาร์โตยังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ทั้งคู่มีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคน มีข้อมูลว่าทั้งคู่หย่าร้างกันในปี 1998 ในระหว่างวิกฤตการทางการเมืองในประเทศซึ่งซูฮาร์โตถูกขับไล่ออกจากตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม การหย่าร้างของทั้งคู่ก็ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการหย่าร้างในทางนิตินัยเพื่อลดผลกระทบทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังคงเป็นคู่ชีวิตกันในทางพฤตินัย

หลังยุติเส้นทางอาชีพทหาร เขาเริ่มบทบาท “นักธุรกิจ” โดยเริ่มจากการเข้าร่วมลงทุนกับน้องชายของเขาซึ่งเป็นนักธุรกิจที่มั่งคั่งอยู่ก่อนแล้ว ปัจจุบัน กลุ่มบริษัท นูซานทารา (Nusantara) ของเขามีบริษัทลูก 27 แห่งทั้งในอินโดนีเซียและต่างประเทศ มีทั้งธุรกิจน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน สวนปาล์ม และอุตสาหกรรมประมง
ต่อมา เขาหันหน้าเข้าสู่การเมือง โดยในปี 2003 เขาหวังจะเป็นตัวแทนพรรคโกลคาร์ (Golkar) ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่ไม่ได้รับคะแนนสนับสนุนให้เป็นตัวแทนพรรค ต่อมาในปี 2008 เขาก่อตั้งพรรคการเมืองของเขาเองชื่อพรรค “เกอรินดรา” (Gerindra)
เขาเคยสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้ว 2 ครั้ง ในปี 2014 และ 2019 ซึ่งพ่ายแพ้ให้แก่โจโก วิโดโด ทั้งสองสมัย แต่เขาก็ได้ร่วมรัฐบาล
แม้ว่าปราโบโวจะมีชื่อเสียงไม่ดีจากประวัติในช่วงที่รับราชการทหาร แต่เขาก็ได้รับความนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่เป็นอย่างมาก ด้วยตัวตนที่เข้าถึงง่าย สนุกสนาน มีความแข็งแกร่ง มีความชาตินิยม อยู่ในตัวคนคนเดียว ที่สำคัญคือ คนรุ่นใหม่เกิดไม่ทันยุคที่เขาเป็นทหาร และไม่ค่อยสนใจอดีตของเขาด้วย
ต้องยอมรับว่า เขาคือหนึ่งใน (ว่าที่) ผู้นำที่ผ่านประสบการณ์โชกโชน และชีวิตมีสีสันในหลากหลายแง่มุมมาก