ตามคาด! ไร้แถลงการณ์ร่วมครั้งแรก หลังปิดฉาก G7

Ian Langsdon/Pool via REUTERS

การประชุมกลุ่มสมาชิก G7 ประกอบด้วย อังกฤษ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งกำหนดการหารือร่วมกัน 3 วันที่ผ่านมา (24-26 ส.ค.2562) รอยเตอร์ส รายงานว่า เป็นไปตามคาดว่า “ไม่มี” การแถลงการณ์ร่วมหลังจบการประชุมของกลุ่มสมาชิก G7 เมื่อวานนี้ ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ที่มีการประชุมในปี 1975

รายงานระบุว่า สถานการณ์ความตึงเครียดมีมากขึ้นระหว่างชาติสมาชิก G7 ซึ่งเกิดขึ้นในหลายประเด็น ทั้งการค้า ความพยายามด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน และภาวะโลกร้อน โดยสำนักข่าวต่างประเทศเกือบทุกสำนักชี้ว่า “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” เป็นตัวแปรที่สำคัญของการประชุมครั้งนี้

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมในวาระสำคัญในเรื่องสภาพอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ และน่านน้ำ ซึ่งเขามีกำหนดที่จะต้องเข้าร่วมด้วยก็ตาม สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

สำหรับประเด็นที่กำลังสร้างความกังวลอย่างมากต่อประชาคมโลกขณะนี้ อย่าง “การประท้วงในฮ่องกง” ชาติสมาชิก G7 แสดงความเป็นห่วง และเห็นพ้องกันว่า ต้องการให้จีนดำเนินบทบาทอย่างสร้างสรรค์ และวิตกเกี่ยวกับการตัดสินใจของรัฐบาลจีนเพราะอาจใช้กำลังทหารเพื่อปิดฉากการประท้วงที่ลากยาวมาหลายเดือนแล้ว

“บอริส จอห์นสัน” นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ กล่าวว่า ชาติสมาชิก G7 สนับสนุนเสถียรภาพและความรุ่งเรืองของฮ่องกงในแนวคิดเดิม ขณะที่อังกฤษเองก็เห็นชอบกับกรอบพันธสัญญาเดิมภายใต้รูปแบบ 1 ประเทศ 2 ระบบ แต่ยอมรับว่าจีนกำลังสร้างความกังวลให้กับเศรษฐกิจโลกจากเหตุประท้วงที่ยืดเยื้อเกินไป