ส่องทรัพย์สินผู้ก่อตั้งเอเวอร์แกรนด์ พอขายใช้หนี้หรือไม่ ?

ส่องทรัพย์สินผู้ก่อตั้งเอเวอร์แกรนด์ พอขายใช้หนี้หรือไม่ ?
REUTERS/Bobby Yip/File Photo

ทางการจีนแจ้ง สวี่ เจียยิ่น ประธานไชน่าเอเวอร์แกรนด์ ให้นำทรัพย์สินส่วนตัวไปขาย เพื่อนำเงินไปจ่ายนักลงทุน แต่สมบัติที่เขามีอยู่จะพอขายใช้หนี้หรือไม่ ? 

วันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 เอเชีย ไฟแนนเชียล รายงานว่า ระหว่างที่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจีนอย่าง “ไชน่า เอเวอร์แกรนด์” พยายามดิ้นรนเพื่อหาเงินมาชำระหนี้ ทางผู้ก่อตั้งบริษัทเองได้พยายามรวบรวมเงินจากทรัพย์สินฟุ่มเฟือยต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงงานศิลปะ งานเขียนอักษรด้วยพู่กันจีน และบ้านหรู 2 หลัง เพื่อหาเงินมาชำระหนี้

เมื่อเดือนที่แล้ว แหล่งข่าว 2 รายให้ข้อมูลตรงกันว่า ทางการจีนได้แจ้งต่อ “สวี่ เจียยิ่น” อายุ 63 ปี ประธานบริษัทเอเวอร์แกรนด์ ให้รวบรวมเงินจากทรัพย์สมบัติส่วนตัวไปจ่ายผู้ถือหุ้นกู้

ปัญหาชำระหนี้หุ้นกู้ของเอเวอร์แกรนด์ ส่งผลต่อตลาดและนักลงทุน รวมถึงซัพพลายเออร์จำนวนมาก กระทั่งเกิดความโกลาหลทางการเงิน

“กัว ฮุย” ซึ่งทำธุรกิจทำความสะอาด ต้องเป็นหนี้มากกว่า 1.8 ล้านหยวน หรือราว 92 ล้านบาท เพราะเอเวอร์แกรนด์ เขาต้องขายรถปอร์เช่ คาเยนน์ และอพาร์ตเมนต์ เพื่อรวบรวมเงินสดมาใช้หนี้

“สวี่ เจียยิ่น ควรขายทรัพย์สินของตัวเอง” กัวกล่าวและว่า “สวี่ เจียยิ่น ไม่มีทางเลือกเมื่อทางการสั่งให้ทำ”

สวี่ เจียยิ่น ได้ใช้คฤหาสถ์ของตัวเองในฮ่องกงเป็นหลักประกันในการขอกู้เงินจากธนาคารเพื่อการก่อสร้างแห่งประเทศจีน

สื่อท้องถิ่นรายงานว่า มีการระดมเงินประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือราว 1,259 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้หุ้นกู้ที่ค้างชำระของเอเวอร์แกรนด์

มหาเศรษฐี ผู้เคยได้รับการจัดอันดับให้เป็นชายที่มั่งคั่งที่สุดในเอเชียเมื่อปี 2560 ยังได้นำที่พักหรูแห่งที่สองในฮ่องกงไปเป็นหลักประกันขอกู้เงินจากโอริกซ์ เอเชีย แคปิตอล ลิมิเต็ด เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน แต่ไม่มีการเปิดเผยราคา

ตัวแทนอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่งบอกกับรอยเตอร์สว่า ที่พักทั้งสองแห่งที่ถูกนำไปเป็นหลักประกันกู้เงิน แต่ละแห่งมีมูลค่าประมาณ 800 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือราว 3,359 ล้านบาท โดยทั้งสองแห่งตั้งอยู่บนเดอะพีค จุดที่สูงที่สุดบนเกาะฮ่องกง ซึ่งเป็นเขตที่อยู่อาศัยที่มีชื่อเสียงที่สุดบนเกาะ สามารถมองเห็นวิวที่เต็มไปด้วยตึกระฟ้าอย่างสุดลูกหูลูกตา

อย่างไรก็ตาม สวี่ เจียยิ่นและเอเวอร์แกรนด์ไม่ได้ตอบกลับผู้สื่อข่าว ที่ถามเรื่องอสังหาริมทรัพย์บนเดอะพีค ขณะที่สำนักงานข้อมูลสภาแห่งรัฐของจีนก็ไม่ได้ตอบคำถามนี้เช่นกัน

สมบัติหรู

สวี่ เจียยิ่น ซึ่งได้รับการเลี้ยงดูจากยายในหมู่บ้านแถบชนบท ก่อตั้งเอเวอร์แกรนด์เมื่อปี 2539 ทางตอนใต้ของเมืองกวางโจว โดยเริ่มต้นจากการสร้างบ้านราคาถูก ก่อนจะประสบความสำเร็จในเวลาต่อมา

ชายผู้นี้มีความหลงใหลในงานเขียนอักษรด้วยพู่กันจีน, งานศิลปะ และปลาคาร์ป ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีและโชคลาภ ที่เขายอมทุ่มเงินหลายสิบล้านหยวนเพื่อให้ได้มา

แหล่งข่าวเผยว่า ภายใต้คำสั่งของสวี่ เจียยิ่น เอเวอร์แกรนด์ได้ขายงานศิลปะและงานเขียนอักษรด้วยพู่กันจีนบางชิ้นเพื่อเพิ่มทุน อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถประเมินได้ว่าเงินที่ได้จากการขายสมบัติเหล่านี้มีจำนวนมากน้อยเพียงใด และถูกนำไปใช้ทำอะไรบ้าง และเอเวอร์แกรนด์เองก็ยังไม่ตอบคำถามนี้

เครื่องบินเจ็ตและเรือยอทช์ส่วนตัว

แหล่งข่าวรายนี้เผยด้วยว่า เอเวอร์แกรนด์ได้ขายเครื่องบินส่วนตัวยี่ห้อกัลฟ์สตรีม จำนวน 2 ลำ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

เดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล รายงานเมื่อช่วงต้นเดือนว่า เอเวอร์แกรนด์ระดมเงินได้มากกว่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 1,634 ล้านบาท จากการขายเครื่องบินส่วนตัวสองลำดังกล่าวให้กับนักลงทุนชาวอเมริกัน

สวี่ เจียยิ่น ยังเป็นเจ้าของเรือยอทช์ความยาว 60 เมตร ชื่อ “อีเวนต์” ซึ่งคาดว่ามีมูลค่า 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 1,961 ล้านบาท รวมถึงเครื่องบินแอร์บัสส่วนตัวอีก 1 ลำ ตามรายงานของสื่อจีน

อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเขาเป็นเจ้าของเรือยอทช์และเครื่องบินส่วนตัวเหล่านี้จริงหรือไม่ เนื่องจากสวี่ เจียยิ่น และเอเวอร์แกรนด์ไม่ยอมตอบคำถามเหล่านี้

ในขณะที่ความมั่งคั่งของเขาลดลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จาก 45,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 1.4 ล้านล้านบาท เมื่อปี 2560 แต่เขายังคงมีความมั่งคั่งประมาณ 11,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 3.6 แสนล้านบาท จากการจัดอันดับของ หูรุ่น ไชน่า ริช ลิสต์ 2011 ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนที่แล้ว

แม้เขาจะขายทรัพย์สินบางส่วนไปแล้ว แต่เงินที่ได้ก็ยังคงเป็นจำนวนเล็กน้อย เมื่อเทียบกับหนี้สินของเอเวอร์แกรนด์ที่สูงกว่า 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 9.8 ล้านล้านบาท ซึ่งเทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของแอฟริกาใต้

หลังจากเอเวอร์แกรนด์สามารถเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ได้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กำหนดชำระหนี้ครั้งต่อไปคือวันที่ 28 ธันวาคม ซึ่งเป็นการชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ที่ครบกำหนด มูลค่ากว่า 255 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 8,337 ล้านบาท