สัปดาห์ที่ผ่านมาร่างกฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่ของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ หรือ “ทรัมป์แคร์” ซึ่งจะนำมาแทนที่กฎหมายประกันสุขภาพ “โอบามาแคร์” เป็นอันต้องล่มครั้งที่สองเมื่อมีสมาชิกวุฒิสภาของรีพับลิกัน 4 คน ประกาศจะไม่ยกมือสนับสนุนทรัมป์แคร์ เพราะเห็นว่ายังไม่ดีพอ
ก่อนหน้านี้รัฐบาลทรัมป์ต้องถอนร่างกฎหมายดังกล่าวออกมารอบหนึ่งในชั้นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร เพราะมี ส.ส.รีพับลิกันต่อต้านและประกาศจะไม่สนับสนุน จนกระทั่งในที่สุดร่างกฎหมายนี้สามารถผ่านความเห็นชอบของสภาล่างเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ก่อนจะส่งไปยังวุฒิสภาเพื่อขอความเห็นชอบ แต่ก็ต้องเลื่อนการลงมติออกไปเพราะเสียงสนับสนุนไม่เพียงพอ
นับว่าเป็นอุปสรรคที่ไม่น่าเกิดขึ้น เพราะปัจจุบันพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
ความล่าช้าในการผ่านร่างกฎหมาย นำมาซึ่งความไม่แน่นอนว่าทรัมป์จะสามารถผลักดันแผนกระตุ้นเศรษฐกิจสุดทะเยอทะยานที่เคยหาเสียงไว้หรือไม่ ทั้งการปฏิรูปภาษี การลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 1 ล้านล้านดอลลาร์ ฯลฯ เพราะแผนดังกล่าวผูกติดกับการผ่านกฎหมายประกันสุขภาพ
เป้าหมายของทรัมป์คือหวังจะลดงบประมาณด้านประกันสุขภาพเพื่อนำไปโปะรายได้ที่เกิดจากการปรับลดภาษีให้กับภาคธุรกิจและประชาชนผู้มีเงินได้และการใช้จ่ายต่าง ๆ ในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ
ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา ความคาดหวังทางบวกจากตลาดที่มีต่อทรัมโปโนมิกส์ ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ปรับขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อกฎหมายประกันสุขภาพล่ม ก็ส่งผลกระทบทางลบทันที เห็นได้จาก “เงินดอลลาร์อ่อนค่า”มากที่สุดในรอบ 10 เดือน
ริชาร์ด แคลริดา ที่ปรึกษายุทธศาสตร์ระดับโลกของพิมโค ระบุว่า ตลาดกำลังผิดหวังกับความไม่คืบหน้าของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็คงไม่มีการลดภาษี ไม่มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน “การติดขัดเรื่องกฎหมายประกันสุขภาพทำให้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลือทั้งหมดถูกจับเป็นตัวประกันเพราะงบประมาณที่จะตัดจากประกันสุขภาพนั้น ครึ่งหนึ่งถูกกันไว้เพื่อชดเชยการปรับลดภาษี”
ไม่เพียงแค่เรื่องกฎหมายประกันสุขภาพเท่านั้น ที่เป็นอุปสรรคในการเดินหน้านโยบายของทรัมป์ ยังมีเรื่องการจัดทำปีงบประมาณหน้าและการขยายเพดานก่อหนี้ เพราะกระบวนการจัดทำงบประมาณนั้นต้องอ้างอิงอยู่กับรายได้ ซึ่งก็คือภาษี ขณะเดียวกันหากทรัมป์ต้องการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นการลงทุนมากก็จำเป็นต้องมีการขยายเพดานก่อหนี้
ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งที่สั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาลค่อนข้างมากก็คือ ความอื้อฉาวจากประเด็นรัสเซียที่ทรัมป์ถูกเปิดโปงเป็นระยะอย่างต่อเนื่องที่คาดว่าจะยังคงหลอกหลอนรัฐบาลไปอีกหลายปี ซึ่งในทรรศนะของ “เอริก โจนส์”
อาจารย์เศรษฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ ย้ำว่าคงไม่มีแรงสนับสนุนทางการเมืองพอที่จะถอดถอนทรัมป์จากประเด็นรัสเซีย เพราะเป็นกระบวนการทางการเมือง ไม่ใช่กระบวนการทางกฎหมาย แต่สิ่งที่อาจเกิดขึ้นคือการที่ข่าวรัสเซียยังคงถูกเปิดโปงไม่หยุดหย่อนจะทำให้สมาชิกพรรครีพับลิกันเริ่มมองเห็นว่ามีเหตุผลที่จะต่อต้านทรัมป์แล้วก็หาวิธีกำจัดทรัมป์ออกไป ซึ่งยังไม่เกิดขึ้นในเวลานี้ แต่อาจจะเห็นในการเลือกตั้งสมาชิกคองเกรสกลางเทอมในอีก 1 ปีข้างหน้า
ไบรอัน คลาส นักวิชาการการเมืองเปรียบเทียบแห่งลอนดอน สกูล ออฟ อีโคโนมิกส์ ชี้ว่า ทรัมป์คือพลังการเมืองพิษ ที่ไม่สามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนจากฝ่ายที่อยู่กลาง ๆ และไม่สามารถควบคุมสารที่ส่งออกไปยังสาธารณชนได้ “ทนายของเขาแนะนำว่าอย่าทวีต
แต่ในอีก 2 ชั่วโมงต่อมาเขาก็ทวีต ทีมงานของเขาบอกว่าสัปดาห์นี้ให้พูดเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน แต่เขากลับทวีตเรื่องฮิลลารี่ คลินตัน ซึ่งผลจากข้อความต่าง ๆ ที่เขาส่งออกไปตลอดจนเรื่องอื้อฉาวมากมาย ทำให้นโยบายต่าง ๆ ของเขาเดินหน้าไม่ได้”