“เสี่ยเบนท์ลีย์” เศรษฐี รถหรู และ “น้ำยา” กฎหมายไทย

 

Police TV

Police TV
ภาพหลังอุบัติเหตุคืนวันที่ 8 ม.ค. 2566

 

ภาพวิดีโอที่ฉายให้เห็นถึงเหตุรถยนต์หรูราคากว่าสิบล้านบาท ขับด้วยความเร็วสูงบนทางด่วน แซงซ้าย เบี่ยงขวา แล้วพุ่งชนรถอีก 2 คน จนมีผู้บาดเจ็บรวม 6 ชีวิต เมื่อราวเที่ยงคืนครึ่งของวันที่ ม.ค. สร้างความตกใจให้ผู้คนที่พบเห็น

ทว่า วิธีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการกับผู้ก่อเหตุหลังเหตุการณ์ ที่โชคดีไม่มีผู้เสียชีวิต กลับสร้างความประหลาดใจ เสียงวิพากษ์วิจารณ์และตำหนิจากสังคมได้มากกว่า

พร้อมความกังขาว่าผู้ก่อเหตุครั้งนี้จะได้รับการลงโทษตามกฎหมายสมควรกับเหตุที่ก่อหรือลอยนวลไม่ต้องรับโทษดังกรณี บอส-วรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทกระทิงแดง ที่ขับรถเฟอร์รารี ชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อ 3 ก.ย. 2555

สื่อมวลชนไทยทุกแห่งรายงานตรงกันว่า ผู้ขับขี่รถยนต์เบนท์ลีย์ราคาแพง รายนี้คือ นายสุทัศน์ “จั๊บ” สิวาภิรมย์รัตน์ อายุ 52 ปี  และให้ฉายาว่า “เสี่ยเบนท์ลีย์”

บีบีซีไทย สำดับเหตุการณ์ และพฤติการณ์ของผู้ก่อเหตุ ผู้ให้การช่วยเหลือ และการดำเนินการของตำรวจ ดังนี้

8 ม.ค. 2566 คืนเกิดเหตุ

ผ่านเข้า 8 ม.ค. ไม่ถึงชั่วโมง กล้องหน้ารถยนต์คันหนึ่งจับภาพรถยนต์หรูสัญชาติอังกฤษเครื่อง 4.0 ลิตร สีบรอนซ์ ทะเบียน 7 กค 3822 กรุงเทพมหานคร ขับมาด้วยความเร็วสูงบนทางด่วนพิเศษเฉลิมมหานคร มุ่งหน้าดินแดง แซงซ้าย แล้วพุ่งชนท้ายรถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สีดำ ป้ายแดง หมายเลขทะเบียน ฌ 3830 กรุงเทพมหานคร ที่วิ่งอยู่เลนกลาง ก่

อนที่รถมิตซูบิชิที่ถูกชนเสียหลักหมุนชนขอบทางพลิกคว่ำติดช่องทางขวาสุดและถูกรถดับเพลิง อปพร.เขตบางรัก ที่ขับอยู่ช่องทางขวาชนซ้ำ มีผู้บาดเจ็บรวม 6 คน ในจำนวนนั้นมีเด็กอายุ 4 ขวบ รวมอยู่ด้วย แต่ไม่มีผู้เสียชีวิต

ประสานงานกู้ภัย

ประสานงานกู้ภัย

 

เว็บไซต์ข่าวหลายรายอ้างคำให้สัมภาษณ์ของนายศราวุธ รีรักษ์ ผู้ขับขี่รถยนต์มิตซูบิชิ รุ่นปาเจโร่ ว่าขับออกจากบ้านพักย่านทุ่งครุ ขึ้นทางด่วนมุ่งหน้าลงดินแดง เพื่อจะกลับบ้านที่จังหวัดบึงกาฬ ขณะอยู่บนทางด่วน ได้ขับในเลนกลางมาตามปกติ ใช้ความเร็วประมาณ 90 กม./ชม. จากนั้นรู้สึกโดนกระแทกแล้วก็จำอะไรไม่ได้เลย เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก มาเห็นเหตุการณ์จากกล้องหน้ารถที่มีคนส่งมาให้ ในรถที่นั่งกันมาทั้งหมด 6 คน เป็นผู้ใหญ่ 5 คน เด็กอายุ 4 ขวบ 1 คน หลังเกิดเหตุรถพลิกคว่ำ พยายามตั้งสติให้ได้และช่วยกันพาทุกคนออกมาจากรถให้ได้ก่อน

ด้านนางสาวณิชชาวีร์ ชาติสุริยพัฒน์ แฟนสาวที่นั่งมาในรถคันเดียวกัน กล่าวว่า ที่รอดมาได้เป็นเพราะทุกคนคาดเข็มขัดนิรภัย โดยนายศราวุธเป็นคนขับรถ มีพ่อของนายศราวุธนั่งด้านข้างคนขับได้รับบาดเจ็บแขนหัก ถัดมาเป็นแม่ หลานชาย ตัวเธอนั่งอยู่แถวที่สอง น้องสาวนั่งอยู่ด้านหลัง รถคันนี้เพิ่งได้มาเมื่อ 19 ธ.คซ 2565

Police TV

Police TV

 

นางสาวณิชชาวีร์ กล่าวด้วยว่าที่สถานีตำรวจ คู่กรณีไม่ยอมเป่าหรือตรวจแอลกอฮอล์ เธอก็ไม่ทราบเหตุผลว่าทำไม ทั้งที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยพยายามให้เขาเป่า แต่เขาปฏิเสธ ไม่เป่า พยายามที่จะไปดื่มน้ำ เคี้ยวหมากฝรั่ง เขาคงหาทางแก้ปัญหาของเขา ไม่รู้ว่าเขามีปัญหาอะไรถึงไม่ยอมเป่า ทางตำรวจแจ้งว่าเขาขอตรวจเลือดที่โรงพยาบาลตำรวจ

ทำไมไม่เป่าตรวจระดับแอลกอฮอล์

หลังเกิดเหตุ ได้เกิดความชุลมุนขึ้น ตำรวจไม่ได้ให้นายสุทัศน์เป่าเพื่อตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ ทั้งที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุใหญ่  มีภาพการนั่งเคี้ยวหมากฝรั่ง ซึ่งนายสุทัศน์เป็นการลดอาการอยากบุหรี่ เขาพยายามโทรศัพท์ ในช่วงเวลา 01.00-02.00 น. และมีผู้บาดเจ็บหลายคน

ประสานงานกู้ภัย

ประสานงานกู้ภัย

 

นายสุทัศน์ระบุว่า เขาถูกอาสากู้ภัยหลายคนรุมประชิด และแสดงพฤติการณ์เหมือนทำร้ายร่างกาย ก่อนที่เขาและผู้หญิงที่เดินทางไปด้วย จะพยายามเรียกแท็กซี่ออกจากจุดเกิดเหตุ แต่ถูกห้ามไว้ ต่อมา ตำรวจได้ควบคุมตัวไปที่ สน.ทางด่วน 1 เวลา 01.00 น.

ตำรวจออกมาชี้แจงต่อสาธารณชนในวันที่ 9 ม.ค. ว่าทำไมถึงไม่ให้นายสุทัศน์เป่าตรวจระดับแอลกอฮอล์ในทันที แต่เลือกตรวจเลือดเพื่อวัดระดับแอลกอฮอล์แทน

พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผบช.น.ดูแลงานจราจร แถลงว่า ผู้ขับขี่ดังกล่าวได้รับบาดเจ็บบริเวณหน้าอก อาจจะทำให้แรงลมการเป่าไม่เพียงพอทำให้เครื่องวัดไม่เสถียร ทางพนักงานสอบสวนจึงใช้วิธีการตรวจเลือด

“เพราะเจ็บหน้าอกเนื่องจากถูกกระแทก เกรงว่าลมเป่าอาจจะแรงไม่พอ” พล.ต.ต. จิรสันต์ กล่าว

Police TV

Police TV
พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผบช.น.ดูแลงานจราจร

คำชี้แจงดังกล่าวของตำรวจ กลับยิ่งทำให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์หนักขึ้นอีก ในขณะที่ท้ายสุด ผลตรวจเลือดออกมาว่า นายสุทัศน์มีระดับแอลกอฮอล์ไม่เกิน 20 มิลลิกรัม จึงไม่เข้าข่ายเมาแล้วขับ

ก่อนที่ท้ายสุด วันที่ 11 ม.ค. ตำรวจนครบาลแจ้งข้อหาเพิ่ม “เมาแล้วขับ” นายสุทัศน์ ด้วยเหตุผลว่าไม่ยอมตรวจแอลกอฮอล์ แม้ว่านายสุทัศน์จะให้การว่า ตนเองไม่ได้ปฏิเสธ แต่เพราะเจ็บหน้าอก ตำรวจจึงส่งไปตรวจเลือดแทน

ต่อมา ตำรวจได้ส่งศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อฝากขังนายสุทัศน์แล้ว ซึ่งศาลได้รับพิจารณารับฝากขังตามคำร้อง และภายได้อนุญาตให้ประกันด้วยเงิน 1 แสนบาท

ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ แต่ดื่มสปาร์คกิงไวน์-แชมเปญ

นายสุทัศน์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เป็นคนไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเป็นโรคกระเพาะและกรดไหลย้อน แต่ยอมรับว่า วันนั้นได้ดื่มสปาร์คกิงไวน์ และแชมเปญ ไป 1-2 แก้ว พอเป็นพิธี

ส่วนขวดไวน์ที่พบในรถเบนท์ลีย์นั้น เขาอ้างว่า เป็นขวดไวน์เปล่าที่แฟนเพื่อนอยากได้ แต่ลืมไว้ในรถ และย้ำว่าตัวเขาไม่ได้ดื่มไวน์ระหว่างขับขี่

แต่กระนั้น การที่ไม่ได้เป่าตรวจวัดแอลกอฮอล์นั้น เขาไม่ได้ปฏิเสธ แต่เพราะบอกเจ้าหน้าที่ว่า “เจ็บหน้าอก” ขณะที่ผู้หญิงที่เดินทางไปด้วยเพิ่งไปทำจมูกมาและมีเลือดไหล ทำให้พยายามเรียกแท็กซี่ไปโรงพยาบาลใกล้ ๆ ก่อน แล้วจะกลับมาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่

ข่าวสด

ข่าวสด

 

เวลา 03.30 น. วันที่ 9 ม.ค. หรือหลังเกิดเหตุไปราว 3 ชั่วโมง ตำรวจจึงนำตัวนายสุทัศน์ไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาล ด้วยเหตุผลว่า จะได้ผลตรวจระดับแอลกอฮฮล์ที่แน่ชัดกว่า

“ความจริงเป็นอุบัติเหตุธรรมดา ถ้าผมขับแท็กซี่ ขับรถธรรมดา ก็คงไม่มีอะไร เป็นรถหรูผิดด้วยหรือครับ อุบัติเหตุไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แล้วผมถามว่า ค่าตรวจแอลกอฮอล์จากลมหายใจยังไม่ชัวร์ ตรวจจากเลือดชัวร์กว่า” นายสุทัศน์ กล่าว

“บิ๊กดีเอสไอ” พาผู้ต้องหาไป รพ.ตำรวจ

ในช่วงที่นายสุทัศน์ อยู่ที่โรงพัก และปรากฏภาพเคี้ยวหมากฝรั่งโทรศัพท์อยู่นั้น สื่อไทยหลายสำนัก รวมถึงสำนักข่าวไทย รายงานตรงกันว่า ได้มีชายสูงอายุพร้อมผู้ติดตาม อ้างตัวเป็น “อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ” หรือ ดีเอสไอ เข้ามาหาเจ้าหน้าที่ อ้างว่าจะพานายสุทัศน์ไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลตำรวจ

ในช่วงที่ ผู้ที่แอบอ้างเป็นอดีตอธิบดีดีเอสไอพูดคุยกับตำรวจ เพื่อนำตัวผู้ต้องหาออกจากโรงพัก ได้มีการนำน้ำดื่มหลายชวดให้นายสุทัศน์ พร้อมสั่งห้ามไม่ให้มีการถ่ายคลิปเด็ดขาด

ประเด็นนี้ ทำให้สังคมตั้งคำถามว่า เพราะเหตุใดเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงอนุญาตให้คนนอก เข้ามาแทรกแซง และพาตัวนายสุทัศน์ออกจากโรงพักได้

ต่อมา วันที่ 11 ม.ค. นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนพิเศษ ออกมาให้สัมภาษณ์ชี้แจงว่า ยินดีให้ตรวจสอบอย่างโปร่งใส กรณีมีคนแอบอ้างยศตำแหน่งของตนในคืนวันเกิดเหตุว่า เป็นอดีตตำรวจ หรืออดีตอธิบดีดีเอสไอจริงหรือไม่

“หากเรื่องดังกล่าวถูกตรวจสอบและสรุปว่าเป็นผมที่เข้าไปติดต่อช่วยเหลือทางด้านคดีให้กับคนขับขี่รถยนต์เบนท์ลีย์จริง พร้อมที่จะลาออกจากตำแหน่งทันที แต่หากพบว่ามีระดับผู้ใต้บังคับบัญชาของดีเอสไอเป็นคนแอบอ้าง จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายแน่นอน” นายไตรยฤทธิ์ กล่าว

ประวัติ นายสุทัศน์ สิวาภิรมย์รัตน์

สื่อไทยรายงานว่า นายสุทัศน์นั้น ปัจจุบัน อายุ 52 ปี จบชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่ โรงเรียนวัดนวลนรดิศ จบปริญญาตรีคณะบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยเป็นน้องชาย ดร.มนูญ สิวาภิรมรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่คนปัจจุบัน

เขาเคยเป็นกรรมการ 7 บริษัท ทำธุรกิจซื้อขายที่ดิน ตลาดสดและวัสดุก่อสร้าง ตามข้อมูลของมติชน และเคยมีรายงานของสื่อหลายสำนักว่า เขาเป็นนายทุนพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง

เบนท์ลีย์ “ฟอกขาว” ?

รถยนต์เบนท์ลีย์ของนายสุทัศน์ที่ประสบเหตุนั้น เป็นรุ่นคอนติเนนตัล จีที สีเทา ทะเบียน กค 3822 กทม. เป็นซูเปอร์คาร์นำเข้าจากต่างประเทศ และมีรายงานว่า เคยเป็นของกลางเพื่อตรวจสอบมาแล้ว

แมแนเจอร์ ออนไลน์ รายงานว่า ศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ของกองบังคับการปราบปรามคดีเศรษฐกิจในสมัย พล.ต.ต. โกวิท วงศ์รุ่งโรจน์ เป็น ผบก.ปอศ. ได้จับกุมและยึดรถยนต์ของนายสุทัศน์เป็นของกลาง เพื่อตรวจสอบพฤตการณ์ที่ส่อเค้าว่า หลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร

ต่อมา พนักงานสอบสวนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานจากประเทศอังกฤษ พบว่า มีเจ้าของโชว์รูมแห่งหนึ่ง ร่วมกับกระบวนการนำเข้ารถยนต์คันดังกล่าว จัดทำเอกสารให้เกิดราคานำเข้าต่ำ ขัดแย้งกับราคาจริงในท้องตลาด ทำให้กรมศุลกากรเสียหายจากการเรียกเก็บภาษีรถยนต์นำเข้ามีมูลค่าหลายล้านบาท

อย่างไรก็ดี ท้ายสุด พนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง โดยอ้างว่า เอกสารที่ได้มาจากประเทศอังกฤษ รับฟังไม่ได้ โดยแมแนเจอร์ ออนไลน์ ระบุว่า นี่อาจเป็นการ “ฟอกขาว” รถเบนท์ลีย์คันนี้ โดยกระบวนการยุติธรรม ก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุร้ายแรง และมีผู้บาดเจ็บหลายราย

ข่าว บีบีซี ไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว