สภาผู้บริโภค แก้ปัญหาถุงลมนิรภัย จ่ายเงินเยียวยาผู้เสียหาย 7 ล้านสำเร็จ

สภาผู้บริโภค ถุงลมนิรภัย
สภาผู้บริโภค แถลงความสำเร็จการรณรงค์เปลี่ยนถุงลมนิรภัย “ทาคาตะ”

สภาผู้บริโภค แถลงความสำเร็จการรณรงค์เปลี่ยนถุงลมนิรภัย “ทาคาตะ” สร้างความตื่นตัวให้หน่วยงานรัฐ ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค รวมทั้งช่วยเหลือผู้เสียหายจากเหตุถุงลมนิรภัยระเบิด ได้รับเงินเยียวยารวมกว่า 7 ล้านบาท

วันที่ 1 มีนาคม 2566 นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุว่า จากการดำเนินงานที่ผ่านมาทำให้เกิดการตื่นตัวอย่างมากของหน่วยงานรัฐ ผู้ประกอบการรถยนต์ และผู้บริโภค เช่น สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กำกับดูแลเรื่องการเรียกคืนรถยนต์ของผู้ประกอบการมากขึ้น

ขณะที่กรมการขนส่งก็เปิดใช้งาน “ระบบแจ้งเตือนถุงลมนิรภัย” เมื่อมีการดำเนินการทางทะเบียนและภาษีรถยนต์ ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ ส่วนภาคธุรกิจก็มีความตื่นตัวและมีการจัดทำสื่อโฆษณารูปแบบต่าง ๆ โดยเผยแพร่ผ่านสื่อสาธารณะหรือบางบริษัทอาจเผยแพร่ผ่านช่องทางการสื่อสารที่บริษัทมี เป็นต้น ซึ่งต้องขอบคุณบริษัท หน่วยงาน รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้งนี้ อยากให้ช่วยกันผลักดันเรื่องนี้ต่อไปจนกว่ารถยนต์รุ่นที่มีปัญหาจะได้เข้ารับการเปลี่ยนถุงลมนิรภัยใหม่จนหมด

ทั้งนี้ สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค) ได้รายงานความคืบหน้ากรณีผู้บริโภคร้องเรียนปัญหาถุงลมนิรภัยไม่ปลอดภัยตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน 2565 รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนถุงลมนิรภัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อแจ้งเตือนภัยผู้บริโภคและกระตุ้นให้ผู้ใช้รถรุ่นที่ติดตั้งถุงลมนิรภัยอันตรายนำรถยนต์เข้ารับการเปลี่ยนถุงลมนิรภัยที่ศูนย์บริการได้โดยไม่มีค่าใช่จ่าย

นอกจากนี้ ยังได้ทำหนังสือถึงบริษัทและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงผู้ว่าราชการทั้ง 77 จังหวัด เพื่อขอความร่วมมือให้ประชาสัมพันธ์ข้อมูลเกี่ยวกับถุงลมนิรภัย

แนะ สคบ.สร้างความเข้าใจให้กับประชาชน

นางสาวสารี กล่าวเพิ่มเติมว่า สภาผู้บริโภคมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมถึง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โดยมองว่า สคบ. ควรทำความร่วมมือกับสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เพื่อเชิญบริษัทรถยนต์อื่น ๆ นอกเหนือจาก 8 บริษัทเข้าไปให้ข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์ที่ติดตั้งถุงลมนิรภัยที่มีปัญหา และทำแผนเรื่องการเรียกคืนสินค้าให้เป็นระบบเพื่อเป็นแนวปฏิบัติ

นอกจากนี้ สคบ. อาจออกประกาศกำหนดเกณฑ์แจ้งความเป็นอันตรายของถุงลมนิรภัยแก่ผู้บริโภคและประชาชน เมื่อเป็นเช่นนี้ หากในอนาคตเกิดกรณีสินค้าไม่ปลอดภัยในลักษณะเดียวกัน ก็จะมีกระบวนการเรียกคืนที่เป็นระบบและรวดเร็ว ทำให้ผู้บริโภคได้รับความคุ้มครองได้ทันท่วงที

แพทย์รามาฯ​ ชี้ กรณีนี้ไม่ควรเกิดขึ้นอีก

ผศ.นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ หัวหน้าสาขานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และนายกสมาคมแพทย์นิติเวชศาสตร์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยทราบเรื่องถุงลมนิรภัยระเบิดมาก่อน จนกระทั่งเมื่อต้นปี 2565 มีกรณีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุไม่รุนแรงแต่ตามร่างกายกลับมีโลหะขนาดใหญ่ฝังอยู่ที่ช่วงหน้าอกและลำคอ จึงได้ร่วมกับอาจารย์หลาย ๆ ท่านชันสูตร จนกระทั่งเจอข้อมูลจากงานวิจัยของต่างประเทศ ซึ่งมีลักษณะของบาดแผลและโลหะที่พบคล้ายกัน

โดยผลการชันสูตรสรุปว่าเกิดจากการระเบิดของถุงลมนิรภัย หลังจากนั้นญาติของผู้เสียชีวิตได้ติดต่อไปที่สภาผู้บริโภค และสภาผู้บริโภคได้เขามาผลักดันเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตื่นตัวมากขึ้น ผู้บริโภคทราบเรื่องนี้มากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์มาก เพราะกรณีมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากถุงลมนิรภัยระเบิดเป็นกรณีที่เคยเกิดขึ้นหลายครั้งในต่างประเทศ

“หากสภาผู้บริโภคไม่เข้ามาดำเนินการ อุบัติเหตุถุงลมนิรภัยระเบิดในครั้งนั้นก็คงจะจบแค่ผลการชันสูตรว่าเสียชีวิตจากถุงลมนิรภัยระเบิด รู้สึกดีใจที่มีการผลักดันจนเรื่องนี้กลายเป็นที่รับรู้ของสังคม เพราะไม่อยากพบการเสียชีวิตจากกรณีดังกล่าวอีก เนื่องจากเป็นเรื่องที่สามารถแก้ไขได้ง่ายมาก เพียงแค่นำรถยนต์เข้าไปเปลี่ยนถุงลมนิรภัยเท่านั้น” ผศ.นพ.สมิทธิ์ กล่าว

เยียวยาผู้เสียหายได้รวมกว่า 7 ล้านบาท

ขณะที่ นายภัทรกร ทีปบุญรัตน์ เจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองผู้บริโภคแบบเบ็ดเสร็จ (One-Stop Service) สภาผู้บริโภค ระบุว่า หลังจากได้รับเรื่องร้องเรียนจากญาติผู้เสียชีวิตกรณีถุงลมนิรภัยระเบิดเมื่อเดือนเมษายน 2565 สภาผู้บริโภคได้จัดแถลงข่าวร่วมกับกรมการขนส่งทาง และสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ในเดือนพฤษภาคม 2565 และหลังงานแถลงข่าว ก็ได้รับข้อมูลว่ามีผู้เสียหายจากถุงลมนิรภัยระเบิดอีก 5 กรณี แบ่งเป็นได้รับบาดเจ็บ 3 กรณี และเสียชีวิต 2 กรณี

ทั้งนี้ บางกรณีเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่สภาผู้บริโภคจะเข้ามาดำเนินการเรื่องนี้ และบริษัทรถยนต์ได้ทราบเรื่องและจ่ายเงินเยียวยาผู้เสียหายเฉพาะกรณี แต่ก็ไม่ได้การแจ้งเตือนผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภครายอื่น ๆ ที่ได้รับความเสียหายจากถุงลมนิรภัยระเบิดไม่ทราบเรื่อง และไม่ได้รับการเยียวยา

สำหรับการดำเนินการหลังรับทราบข้อมูลผู้เสียหาย สภาผู้บริโภคได้ประสานงานไปยังผู้ประกอบธุรกิจ ให้ทราบถึงปัญหาและเยียวยาผู้บริโภคที่ถูกละเมิดสิทธิ โดยกรณีที่เกิดขึ้นในจังหวัดพะเยา ได้ส่งต่อข้อมูลให้หน่วยงานประจำจังหวัดพะเยา ลงพิ้นที่สอบข้อเท็จจริง เพื่อนำข้อมูล ยื่นข้อเสนอให้ทางผู้ประกอบการชดใช้เยียวยา ส่วนกรณีที่เกิดในกรุงเทพฯ ก็มีการเจรจาไกล่เกลี่ย ในลักษณะเดียวกัน คือ ส่งข้อมูลความเสียหาย เสนอตัวเลขที่ควรจะได้รับการเยียวยาที่เหมาะสมและเป็นธรรม โดยสามารถได้ข้อยุติที่ผู้เสียหายได้การชดใช้ในเดือนมกราคม 2566 ในเวลาไล่เลี่ยกัน รวมยอดเงินรวม กว่า 7 ล้านบาท มากน้อยตามอาการและลักษณะการบาดเจ็บ

ภาพจาก pixabay

ผู้เสียหายเห็นด้วยกับการณรงค์เปลี่ยนถุงลมนิรภัย

ส่วน นายวรชัย สมบัติเจริญกิจ หนึ่งในผู้เสียหายจากกรณีถุงลมนิรภัยระเบิด กล่าวว่า หลังจากที่ประสบอุบัติเหตุและเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล แพทย์ได้แจ้งว่าเป็นบาดแผลที่เกิดจากถุงลมนิรภัยระเบิด แต่ก็ไม่ทราบว่าตัวเองมีสิทธิที่จะได้รับการเยียวยา จนกระทั่งแพทย์เจ้าของไข้ประสานงานไปยังสภาผู้บริโภค และมีเจ้าหน้าที่ติดต่อมา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักกับสภาผู้บริโภค

“ต้องขอบคุณสภาผู้บริโภคที่เข้ามาช่วยเหลือ ทั้งทางกฎหมาย ข้อมูล และการประสานงาน จนกระทั่งได้รับการดูแลจากผู้ประกอบการรถยนต์ นอกจากนี้ เมื่อมีคนใกล้ตัวที่ประสบปัญหาผู้บริโภคอื่น ๆ แล้วติดต่อไปทางสภาผู้บริโภค ก็ได้รับคำแนะนำและความช่วยเหลืออย่างดี ทั้งนี้ อยากให้สภาผู้บริโภคทำงานอย่างเข้มแข็งต่อไปเรื่อย ๆ เพราะเป็นองค์กรที่ทำเพื่อประโยชน์ของทุกคนจริง ๆ” ผู้เสียหายจากกรณีถุงลมนิรภัยระเบิด กล่าว


นายวรชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้ถุงลมนิรภัยจะเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเรื่องความปลอดภัย แต่ถุงลมนิรภัยที่ไม่ปลอดภัยก็สามารถทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ จึงอยากให้ทุกภาคส่วนช่วยการรณรงค์เรื่องการเปลี่ยนถุงลมนิรภัย รวมทั้งอยากให้บริษัทรถยนต์ต่าง ๆ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้รถยนต์รุ่นที่มีปัญหาได้เข้ารับการเปลี่ยนถุงลมนิรภัยทั้งหมด