ธปท. วิเคราะห์คู่แข่งไทยส่ง “ทุเรียน” ไปจีน ประเทศไหนน่ากลัวที่สุด ?

ทุเรียนภูเขาไฟ ศรีสะเกษ

ธปท. ภาคใต้ เสนอบทวิเคราะห์สถานการณ์ทุเรียนไทย ส่งออกไปตลาดจีน เทียบประเทศคู่แข่ง 7 ประเทศ ชี้ 3 ปีข้างหน้ายังไม่น่าห่วง แต่ 5 ปีข้างหน้าค่อนข้างน่ากังวล

วันที่ 3 มิถุนายน 2566 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานภาคใต้ ได้นำเสนอบทความเรื่อง “จับตาสถานการณ์ทุเรียนไทย” เขียนโดย “ณิชมล ปัญญาวชิโรกุล” และ “กฤตยา ตรีวรรณไชย” ซึ่งระบุว่า ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ไทยครองแซมป์ “ผู้ส่งออกทุเรียนอันดับ 1 ของโลก” โดยเฉพาะในตลาดผู้บริโภคหลักของโลกอย่างจีน ซึ่งไทยครองส่วนแบ่งการตลาดเกือบทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่คาดว่าจะเข้ามาสั่นคลอนตลาดทุเรียนไทย ทั้งฝั่งของคู่แข่งที่เข้ามาแย่งชิงตลาดมากขึ้น และผู้บริโภคชาวจีนที่ให้ความสนใจทุเรียนจากประเทศอื่นมากขึ้น

ซึ่งผู้เขียนบทความต้องการฉายภาพสถานการณ์ทุเรียนโลกที่กำลังเปลี่ยนไป เพื่อให้ทุกฝ่ายรู้สึก รู้ทัน และช่วยกันเตรียมรับมือกับความท้าทายของทุเรียนไทยในอนาคต

ตลาดทุเรียนไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากความนิยมของจีนที่เพิ่มขึ้น

  • -ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกทุเรียนของไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากความต้องการบริโภคทฺเรียนของจีนที่เพิ่มขึ้นมาก โดยในปี 2565 มูลค่าการส่งออกทุเรียนไทยทำสถิติสูงสุดที่ 1.24 แสนล้านบาท ครองแซมป์ผลไม้ส่งออกอันดับ 1 ของไทย
  • มูลค่าส่งออกทุเรียนไทย
  • ทุเรียนไทยเกือบทั้งหมดส่งออกไปตลาดจีนในรูปของทุเรียนผลสด เนื่องจากเดิมไทยเป็นประเทศเดียวที่จีนอนุญาตให้ส่งทุเรียนผลสดไปขายมานานหลายปี
  • ความนิยมบริโภคทุเรียนของจีนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ราคาทุเรียนปรับตัวสูงขึ้น และเกษตรกรไทยหันมาปลูกทุเรียนมากขึ้น โดยในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา ราคาทุเรียนเพิ่มขึ้นจากเฉลี่ย 33 บาท เป็น 111 บาท/กิโลกรัม และส่งผลให้พื้นที่ปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว

สถานการณ์ทุเรียนโลก กำลังเปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งฝั่งของผู้บริโภค และคู่แข่งผู้ปลูกทุเรียน

จีนยังต้องการบริโภคทุเรียนอีกมาก แต่เริ่มนำเข้าจากประเทศอื่นมากขึ้น

แนวโน้มความต้องการบริโภคทุเรียนของจีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจีนเป็นผู้บริโภคหลักที่นำเข้าทุเรียนผลสดสูงถึง 80% ของปริมาณการนำเข้าทั่วโลก

การนำเข้าทุเรียน

แต่ยังมีโอกาสบริโภคเพิ่มขึ้นได้อีกมาก เนื่องจาก

  • อัตราการบริโภคทุเรียนต่อคนของจีนยังไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับประเทศผู้บริโภคทุเรียนอื่น ๆ แม้แต่กลุ่มเมืองใหญ่ของจีน ที่เป็นผู้บริโภคหลักในปัจจุบันก็ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นได้อีกเช่นกัน
  • อัตราการบริโภคทุเรียน
  • การขนส่งในจีนดีขึ้น การพัฒนาระบบขนส่งโลจิสติกส์ของจีนอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถกระจายสินค้าไปยังเมืองรองด้านในและพื้นที่ชุมชนได้มากขึ้น
  • จีนเริ่มเปิดใจกับทุเรียนจากชาติอื่น สายพันธุ์อื่นมากขึ้น จากเดิมที่บริโภคทุเรียนหมอนทองจากไทยเป็นหลัก แต่เมื่อไม่นานนี้ ก็ได้อนุญาตให้เวียดนามและฟิลิปปินส์ส่งทุเรียนผลสดมาขายในจีนเช่นกัน

เวียดนาม

ได้รับใบอนุญาตเป็นประเทศที่สองเมื่อ ก.ค. 2565 และได้ส่งทุเรียนหมอนทองเข้าไปขายในราคาใกล้เคียงกับไทย ทำให้ได้ส่วนแบ่งการตลาดไปกว่า 5% จากเดิมที่ไม่มีเลย

ฟิลิปปินส์

ได้รับใบอนุญาตล่าสุดเมื่อ ม.ค. 2566 และเริ่มส่งทุเรียนพื้นเมืองพันธ์ปูยัตเข้าไปให้ชาวจีนได้ลองทาน

ทั้งนี้ ประเมินว่า ภายใน 5 ปีข้างหน้า จีนมีโอกาสบริโภคเพิ่มขึ้นอีก 1 กิโลกรัมต่อคนต่อปี แปลว่า จะต้องการทุเรียนเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านตัน

ทุเรียนไม่ได้ปลูกเฉพาะในไทย ไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่สามารถส่งทุเรียนผลสดไปจีนอีกต่อไป

เจาะลึกคู๋แข่งทุเรียน

แนวโน้มการเข่งขันในตลาดทุเรียนโลกรุนแรงขึ้น ทั้งจากไทยที่ปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้นกว่า 8%ต่อปี และประเทศคู่แข่งที่ขยายพื้นที่ปลูกเพื่อบุกตลาดส่งออกมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดทุเรียนผลสดในจีน ที่หลายประเทศเร่งพัฒนาคุณภาพทุเรียนและต่อคิวขอใบอนุญาตส่งออกทุเรียนสดจากจีนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม คู่แข่งแต่ละประเทศมีจุดแข็งและระดับความน่ากังวลแตกต่างกัน ดังนี้

เวียดนาม (ได้ใบอนุญาต ก.ค.2565) / น่ากังวลที่สุด

  • มีผลผลิตมากและเพิ่มขึ้นเร็ว
  • เน้นทุเรียนหมอนทอง ฤดูกาลผลผลิตช่วงเดียวกับไทย (พ.ค.-ก.ย.)
  • ขนส่งเร็วกว่าและถูกกว่าไทย

ลาว (ต่อคิวขอใบอนุญาต) / น่ากังวลในระยะยาว

  • ทุนจีนและเวียดนามเริ่มลงทุนปลูกจริงจัง ผลผลิตจะเร่งขึ้นในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
  • ขนส่งเร็วกว่าไทย ไปได้ทั้งทางบกและรถไฟ

มาเลเซีย (ต่อคิวขอใบอนุญาต) / น่ากังวลพอสมควร

  • มีผลผลิตมาก สัดส่วนส่งออกปัจจุบันยังน้อย
  • เน้นทุเรียนพันธุ์พื้นเมือง
  • มีประสบการณ์ส่งมูซานคิงแช่แข็งไปจีน
  • ขนส่งนานกว่าไทย

กัมพูชา (ต่อคิวขอใบอนุญาต) / ยังไม่น่ากังวล

  • พื้นที่ปลูกน้อย และแนวโน้มผลผลิตไม่มาก

ฟิลิปปินส์ (ได้ใบอนุญาต ม.ค.2566) / ยังไม่น่ากังวล แม้ได้รับใบอนุญาตแล้ว

  • พื้นที่ปลูกน้อย แนวโน้มผลผลิตไม่มาก
  • ขนส่งนานกว่าไทย ไปได้เพียงทางเรือและเครื่องบิน ทำให้ควบคุมคุณภาพยาก

อินโดนีเซีย (ยังไม่ขออนุญาต) / ยังไม่น่ากังวลมาก

  • แม้มีผลผลิตมาก (อันดับ 1 ของโลก) แต่เน้นบริโภคเองในประเทศเกือบทั้งหมด
  • ยังต้องใช้เวลาพัฒนาคุณภาพเพื่อส่งออก

จีน

  • เริ่มทดลองปลูกทุเรียนสำเร็จแล้ว แต่ยังไม่น่ากังวล เพราะพื้นที่ปลูกน้อยมาก แนวโน้มผลผลิตยังไม่ถึง 1% ของไทย

ผลผลิตที่พร้อมเข้าสู่ตลาดจีนจะเพิ่มขึ้นเร็ว ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อราคาทุเรียนในระยะข้างหน้า

  • -ภายในระยะ 3 ปีนี้ ยังไม่น่ากังวลมาก คาดว่าผลผลิตของคู่แข่งอาจยังเข้าสู่ตลาดจีนไม่มากนัก เนื่องจากต้องใช้เวลาพัฒนาคุณภาพทุเรียนขึ้นทะเบียนสวนและโรงคัดบรรจุ และทำการตลาดในจีน หากรวมกับผลผลิตของไทยที่จะเพิ่มขึ้น จะเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับแนวโน้มการบริโภคของจีน แต่ราคาอาจถูกกดดันเป็นบางช่วง โดยเฉพาะช่วงที่ผลผลิตไทยและคู่แข่งออกพร้อมกัน
  • แต่ในระยะ 5 ปีข้างหน้า น่ากังวลมากขึ้น เมื่อคู่แข่งเริ่มปรับตัวได้ คาดว่าจะมีผลผลิตที่พร้อมส่งออกไปตลาดจีนเพิ่มขึ้นมาก และอาจมากกว่าแนวโน้มการบริโภคของจีน (Oversupply) ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อทั้งการส่งออกและราคาทุเรียนของไทย

คาดการณ์ปริมาณทุเรียน

ทุเรียนไทยยังได้เปรียบอยู่มาก แต่ต้องไม่ชะล่าใจ ควรร่วมมือกันพัฒนาอย่างต่อเนื่อง


แม้ว่าทุเรียนไทยกำลังจะเผชิญกับความท้าทายที่มากขึ้นในอนาคต แต่ไทยเองยังมีข้อได้เปรียบคู่แข่งอยู่มาก โดยเฉพาะเรื่องปริมาณผลผลิตที่มีมาก คุณภาพทฺเรียนที่เป็นที่ยอมรับ และประสบการณ์ส่งออกไปตลาดจีนที่ยาวนาน ดังนั้น หากทุกฝ่ายร่วมกันพัฒนาทุเรียนไทยอย่างต่อเนื่อง อาทิ ทำการตลาดในเมืองรองของจีน รวมถึงประเทศอื่น รักษาคุณภาพทุเรียนโดยเฉพาะปัญหาทุเรียนอ่อนช่วงต้นฤดูกาลผลผลิต ส่งเสริมความรู้ เรื่องเทคนิคการปลูกทุเรียนเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และบริหารจัดการเส้นทางขนส่งทุเรียนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ก็จะทำให้ไทยสามารถป้องกันตำแหน่ง “เซมป์ส่งออกทุเรียนอันดับ 1 ของโลก” ได้ไม่ยาก