ครม.อนุมัติเพิ่มเงินสมทบบำเหน็จชราภาพให้ผู้ประกันตน อีกร้อยละ 2.95

บำเหน็จชราภาพ

ครม.เคาะอัตราจ่ายเงินบำเหน็จชราภาพเพิ่มให้แก่ผู้ประกันตนอีกร้อยละ 2.95 เป็นเวลา 3 เดือน ผู้ประกันตน 4.8 ล้านคน ได้เงินเพิ่ม 4,553 ล้านบาท

วันที่ 5 เมษายน 2565 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการและระยะเวลาและอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพเป็นการเฉพาะในช่วงที่มีการลดอัตราเงินสมทบ (ฉบับที่…) พ.ศ. … กำหนดอัตราการจ่ายเงินบำเหน็จชราภาพ ให้แก่ผู้ประกันตนในช่วงที่มีการลดอัตราเงินสมทบ 3 เดือน ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม-31 กรกฎาคม 2565

โดยให้คำนวณเพิ่มจากอัตราเงินสมทบขึ้นอีกร้อยละ 2.95 ของค่าจ้างที่มีตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม-31 กรกฎาคม 2565 เพื่อให้สามารถจ่ายเงินบำเหน็จชราภาพได้เพิ่มขึ้น เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากราคาพลังงานเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป ให้ลดอัตราเงินสมทบที่นายจ้างและผู้ประกันตนจะต้องจ่ายเข้ากองทุนประกันสังคมในระยะเวลา 3 เดือน

ส่งผลให้ผู้ประกันตนบางส่วนจะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพลดลง เนื่องจากเป็นการคำนวณจากเงินที่มีการจ่ายเข้ากองทุน ดังนั้น รัฐบาลจึงมีนโยบายลดผลกระทบ โดยเสนอร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ โดยให้คำนวณอัตราเงินสมทบเพิ่มขึ้นอีก 2.95 ตั้งแต่พฤษภาคม-กรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงลดอัตราส่งเงินสมทบเข้ากองทุนฯ

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานคาดว่ามีผู้ที่ได้รับเงินบำเหน็จชราภาพที่จะได้รับผลกระทบจากการลดอัตราเงินสมทบจำนวน 4,860,212 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 36 ของผู้นำส่งเงินสมทบ ม.33 และ ม.39 ทั้งหมดในช่วงระยะเวลาที่ลดอัตราเงินสมทบ และเมื่อมีการปรับอัตราจ่ายเงินบำเหน็จชราภาพ

จะมีผลให้ผู้ประกันตนได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเพิ่มขึ้นในภาพรวม จำนวน 4,553 ล้านบาท โดยผู้ประกัน ม.33 ได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเพิ่มขึ้น 1,032 บาท/คน รวมเป็นเงิน 4,232 ล้านบาท และผู้ประกันตนตาม ม.39 ได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเพิ่มขึ้น 423 บาท/ คน รวมเป็นเงิน 321 ล้านบาท

ทำให้ผู้ประกันตนสามารถนำเงินที่เพิ่มขึ้นไปใช้จ่ายเพื่อยังชีพในยามชรา บรรเทาปัญหาการเงินของผู้ประกันตนได้บางส่วน อย่างไรก็ตาม ในอนาคตเมื่อสถานการณ์เหมาะสม กองทุนประกันสังคมอาจจะต้องมีการเก็บเงินสมทบเพิ่มขึ้น เพื่อนำมาชดเชยกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นนี้ต่อไป