คอลัมน์: ชั้น 5 ประชาชาติ ผู้เขียน : อมร พวงงาม
แม้โตโยต้า ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก วางแผนลงทุน 70 พันล้านดอลลาร์กับอุตฯรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในอีก 9 ปีข้างหน้า
โดยครึ่งหนึ่งเป็นการลงทุนแบตเตอรี่ไฟฟ้าทั้งหมด
- ขาลงยางพารา ราคาร่วงฉุดไม่อยู่ 10 วันราคาตกลงไปแล้ว 7 บาทกว่า
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 1 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- ออมสิน ฉลองครบวาระ 111 ปี จัดเต็ม สลากออมสินลุ้นรางวัลใหญ่ 111 ล้านบาท
แต่ก็มีคนตั้งข้อสังเกตว่า ยังดูแผ่วกว่าแผนของคู่แข่งบางราย ไม่ว่าจะเป็นโฟล์กสวาเก้น หรือเจเนอรัลมอเตอร์ส
และยิ่งชัดเจนมากขึ้น เมื่อประธานใหญ่ “อากิโกะ โตโยดะ” กล่าวบนเวทีการประชุมตัวแทนจำหน่ายประจำปีของโตโยต้า ในลาสเวกัสเมื่อต้นเดือนที่ผ่านว่า
เป้าหมายของบริษัทยังคงเหมือนเดิม คือเน้นความพึงพอใจให้กับลูกค้าในวงกว้าง
เพราะฉะนั้น กลุ่มรถไฮบริดและปลั๊ก-อินไฮบริด เช่น Prius, รถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน เช่น Mirai และแบตเตอรี่ไฟฟ้าทั้งหมด 15 รุ่น
ยังสามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าภายในปี 2568 นี้ได้สบาย ๆ
เขาไม่เชื่อว่ารถยนต์ไฟฟ้าเพียวๆ จะถูกนำมาใช้อย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุผลสนับสนุน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ราคา และวิธีที่ลูกค้าเลือกแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค เป็นตัวอย่างของอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น
และสิ่งที่สำคัญคือ การขาดแคลนอย่างมากของลิเทียมและนิกเกิลที่ใช้ผลิตแบตเตอรี่ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่งนำไปสู่ปัญหาด้านการผลิตและซัพพลายเชน
แม้ว่าเป้าหมายของโตโยต้า คือต้องการปล่อยคาร์บอนให้เป็นกลางภายในปี 2050
แต่นั่นก็ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนทุกอย่างเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดเท่านั้น
มีข้อมูลล่าสุดว่า นับตั้งแต่ Prius เปิดตัวในปี 1997 โตโยต้ามียอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากกว่า 20 ล้านคันทั่วโลก
สามารถหลีกเลี่ยงการปล่อย CO2 ได้ถึง 160 ล้านตัน ซึ่งเทียบเท่ากับรถยนต์แบตเตอรี่ไฟฟ้าทั้งหมด 5.5 ล้านคัน
จำได้ว่ามีนักวิชาการหลายคนพูดถึงการที่โตโยต้ายังไม่ตัดสินใจเข้าสู่ตลาดอีวี
โดยเฉพาะ สุรินทร์ เจนพิทยา เคยเขียนลงกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ เหตุผลหลัก 4-5 ข้อ
ข้อแรก รถไฟฟ้าไม่ได้รักโลกจริง ประธาน “อาคิโอะ โตโยดะ” มองว่า ยิ่งผลิตรถไฟฟ้าออกมามากขึ้นเท่าใด เราก็ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้นเท่านั้น
และพลังงานที่ว่านี้ก็มาจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ อันเป็นตัวเร่งภาวะโลกร้อน
ข้อสอง โครงสร้างพื้นฐานรถไฟฟ้าเสี่ยงภัยพิบัติและลงทุนสูง เขายกตัวอย่างในญี่ปุ่น หากผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอสำหรับรถอีวีทุกคัน
จะต้องใช้งบลงทุนสูงถึง 3.6-9.5 ล้านล้านบาท ด้วยเหตุนี้ทางประธานโตโยดะ จึงมองรถแบบไฮบริดแทน เพื่อกระจายความเสี่ยงมาอยู่ที่เชื้อเพลิงด้วย
ข้อสาม วัตถุดิบแบตเตอรี่ EV ต่อไปจะขาดแคลน โดยเฉพาะ 1.ลิเทียม 2.โคบอลต์ 3.นิกเกิล เหล่านี้เป็น “แร่ที่มีจำกัดและหมดไปได้”
และข้อสุดท้าย โตโยต้าไม่ต้องการแข่งขันในสนามที่เป็นแค่ Red Ocean ดังนั้น โตโยต้าจึงหันมาลงตลาด Blue Ocean แทนที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักกันอย่าง “รถไฮโดรเจน”
ซึ่งตอนนี้รถไฮโดรเจนในตลาดปัจจุบันมีเพียง 2 เจ้าหลักคือ Toyota Mirai และ Hyundai Nexo
และประธานโตโยดะเคยประกาศว่า ในปีนี้ 2022 โตโยต้าจะเพิ่มการทุ่มพัฒนาถังเชื้อเพลิงไฮโดรเจนให้มีขนาดเล็กลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ใครที่กำลังรอรถอีวี จากแบรนด์โตโยต้า อาจจะต้องเผื่อใจไว้บ้าง