ลุ้นจีนยุค สี จิ้นผิง สมัย 3

สี จิ้นผิง
Xi Jinping (Photo by WANG Zhao / AFP)
คอลัมน์ : บทบรรณาธิการ

ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทย-จีนอยู่ในระดับท็อปของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การขยับของจีนจึงเป็นเรื่องที่คนไทยติดตามใกล้ชิดมาตลอด รวมถึงการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เพิ่งปิดฉากไป

นอกเหนือจากการที่ผู้นำสี จิ้นผิง ได้ดำรงตำแหน่งต่อในสมัยที่ 3 พร้อมแนะนำคณะบริหารสูงสุดชุดใหม่ของพรรคแล้ว สิ่งที่หลายคนจับตาที่แนวโน้มของการเปิดประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระเพื่อมอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของโลก รวมถึงของไทย

หลังการปิดประชุมวาระสำคัญดังกล่าว จีนจึงแจ้งตัวเลขทางเศรษฐกิจว่า ไตรมาส 3 เดือน ก.ค.ถึง ก.ย. ขยายตัว 3.9% ระหว่างเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สูงขึ้นจากการเติบโตในไตรมาส 2 เล็กน้อย 0.4% ช่วงที่นครเซี่ยงไฮ้ใช้มาตรการล็อกดาวน์

ตัวเลขดังกล่าวทำให้ตลาดหุ้นและตลาดเงินหวั่นไหวไม่น้อย เพราะปกติแล้วเวลาที่เศรษฐกิจโลกซบเซา จีนจะเป็นหลักในการออกแรงขับเคลื่อน แต่เมื่อจีนชะลอด้วยจึงทำให้ผู้คนวิตกถึงอนาคต

จากสายตาคนนอก จีนกำลังเผชิญกับอุปสรรคหลายอย่าง ทั้งผลกระทบจากนโยบายโควิดเป็นศูนย์ และสะสางปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ไปจนถึงกรณีพิพาททางการค้ากับสหรัฐอเมริกา

ดังนั้นการที่หลาย ๆ ประเทศ รวมถึงไทยลุ้นให้จีนเปิดประเทศ อาจลุ้นในเวลารวดเร็วไม่ได้ และต้องเปลี่ยนมาลุ้นให้ค่อย ๆ ขยับ เพราะจากการประชุมล่าสุด จีนส่งสัญญาณจะใช้นโยบายซีโร่โควิดต่อไปอีก

ด้านการค้า ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคมปีนี้ ปริมาณการค้าระหว่างจีนและไทยอยู่ที่ประมาณ 91,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

หากย้อนดูตัวเลขปี 2564 ปริมาณการค้าระหว่าง 2 ประเทศเพิ่มขึ้น 33% มีมูลค่า 131,200 ล้านดอลลาร์ ทำลายสถิติ 1 แสนล้านดอลลาร์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ขณะที่การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปยังจีนมีมูลค่า 11,900 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 52.4%

ส่วนการลงทุน มีตัวเลข 7 เดือนของปี 2565 ว่า จีนลงทุนในไทยแล้ว 14,662 ล้านบาท เป็นอันดับ 2 รองจากญี่ปุ่นที่มีมูลค่า 28,970 ล้านบาท

สำหรับภาคการท่องเที่ยวที่มีผู้หวังไว้มากว่าปี 2566 จะเป็นความหวังใหญ่ที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทย ในขณะที่เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอย

หากจีนเปิดประเทศฉลองตรุษจีน 2566 ตรงกับเดือนมกราคม จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีปรีดา แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ ต้องรอลุ้นท่าทีอีกครั้งในการจัดประชุมเอเปคซัมมิตที่กรุงเทพฯ พ.ย.นี้