รัฐบาลง่อนแง่น เศรษฐกิจคลอนแคลน

คอลัมน์ สามัญสำนึก

โดย สมปอง แจ่มเกาะ

หลังวันเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาคมที่ผ่านมา ถึงวันนี้นี่ก็ปาไปกว่า 2 เดือนเข้าไปแล้ว ยิ่งมานั่งนับนิ้วดู โอ้…แม่เจ้า ! นี่มันนานกว่า 70 วันแล้วที่ประเทศไทยยังไม่สามารถตั้งรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศได้

แม้จะยังไม่สามารถทำลายสถิติโลกได้ แต่ก็เป็นการทำลายสถิติประเทศไทยลงได้อย่างราบคาบ

จึงไม่แปลกใจที่วันนี้ไปไหนมาไหนใคร ๆ ก็บ่นว่า “เบื่อการเมือง” 

คงห้ามไม่ให้ประชาชนเขาคิดเช่นนี้ได้ หากมีเครื่องมืออะไรที่วัดค่าความเบื่อได้เหมือนปรอทวัดไข้ก็คงดี

การเมืองทำให้คนไทยเครียดและไม่มีความสุข คุยเรื่องการเมืองเมื่อไหร่วงแตกทุกที ทะเลาะกันทุกที

ระหว่างที่กำลังนั่งปิดต้นฉบับ (4 มิถุนายน) คนที่นอนมาและคาดว่าจะได้รับการเสนอชื่อจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ยังคงเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

และก็เป็นไปตามความคาดหมาย ล่าสุดที่ประชุมรัฐสภามีมติเลือก พล.อ.ประยุทธ์ ให้เป็นนายกฯ สมัยที่ 2 ด้วยคะแนน 500 เสียง ขณะที่คู่แข่ง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้เสียงโหวต 244 เสียง

ที่สำคัญงานนี้เรา ๆ ท่าน ๆ คงได้เห็นธาตุแท้ของนักการเมือง พรรคการเมือง ว่า บรรดาผู้ทรงเกียรติเหล่านี้มีความรัก มีความจริงใจกับประชาชนและประเทศชาติอย่างที่ป่าวประกาศกันหรือไม่ หรือว่าท้ายที่สุดก็ลงเอยด้วยอำนาจหรือยึดผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องเป็นที่ตั้ง

ไม่ว่าผลการโหวตจะออกมาอย่างไร ทุกฝ่ายต้องยอมรับ

จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก หรือรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็คงไม่ต่างกัน

อย่างที่บรรดานักวิเคราะห์การเมือง มองเกมนี้ไว้อย่างทะลุปรุโปร่งว่า การเป็นรัฐบาลปริ่มน้ำทำให้รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ…แต่เดอะโชว์มัสต์โกออน

หลังจากจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว รัฐบาลชุดนี้จะทำงานบริหารประเทศได้อย่างราบรื่นหรือไม่ รัฐนาวาลำนี้จะฝ่าคลื่นลมมรสุมที่โถมกระหน่ำอย่างหนักไปได้นานแค่ไหน

นี่คือคำถามที่ทุกคนน่าจะรู้อยู่แก่ใจดีว่าคำตอบจะออกมาอย่างไร

นี่คือชะตากรรมของคนไทยทั้งประเทศ

เมื่อรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพและสั่นคลอน ย่อมกระทบกับความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างเลี่ยงไม่ได้

นี่ก็ผ่านมาจะครึ่งปีแล้ว…แต่สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศก็ยังไร้วี่แววสดใส ขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยปัจจัยหลัก ๆ มาจากผลพวงจากสงครามการค้าระหว่าง 2 มหาอำนาจ “สหรัฐ-จีน” ที่กระหน่ำเสียจนการส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์ใหญ่ของเศรษฐกิจไทยเสียศูนย์ และหลายหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นสภาพัฒน์ แบงก์ชาติ ต่างทยอยปรับลดจีดีพีลง

ทั้ง “ศึกใน-ศึกนอก” แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว

ครับ แม้เศรษฐกิจไทยในวันข้างหน้าจะยังดูริบหรี่ด้วยปัจจัยทางการเมืองที่มีรัฐบาลปริ่มน้ำ ขณะที่สงครามการค้าก็ไม่มีท่าทีว่าจะจบลงง่าย ๆ ตรงกันข้ามกลับจะยิ่งดุเดือดมากขึ้น

แต่ก็อย่าตื่นตระหนก ต้องเตรียมตัว เตรียมใจ เพื่อรับมือ ต้องตั้งสติให้มั่น ต้องพยายามประคับประคองให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน

ท่องจำให้ขึ้นใจ อดทน ขยัน ประหยัด ต้องช่วยตัวเอง ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ถึงจะมีรัฐบาลก็คงช่วยอะไรไม่ได้…ใช่มั้ยครับ