คอลัมน์ Market-Think โดย สรกล อดุลยานนท์
ไม่รู้ว่าไม่อยากให้คนคิดถึงโครงการเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ของรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” หรือเปล่า
รัฐบาลชุดนี้เลยกำหนด “วงเงิน” ที่ใช้ในการเยียวยาวิกฤต “โควิด” ไว้ที่ 1.9 ล้านล้านบาท
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- ยูโอบี ย้ำลูกค้าบัตรเครดิตซิตี้ ยังใช้งานได้ปกติ แจงสิ่งควรรู้หลังโอนพอร์ต
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
อย่างน้อยก็บอกว่าใช้เงินน้อยกว่ารัฐบาล “ยิ่งลักษณ์”
และครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ไม่มีเสียงต่อต้านจากพรรคฝ่ายค้านและกลุ่มต่าง ๆ ในสังคมไทยเลย
ทั้งที่ใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาล
ทุกคนเปิด “ไฟเขียว” ผ่านตลอด
เพราะรู้ว่าวิกฤตครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก
ไม่ใช่ “ไฟไหม้บ้าน” แต่เป็น “ไฟป่า” ที่ลามไปทั่ว
ใช้ “รถดับเพลิง” สู้ไม่ได้
ต้องใช้เอาน้ำทั้งเขื่อนไปดับ
รัฐบาลทุกประเทศที่มีเงินจะใช้วิธีการเดียวกัน คือ ทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อกอบกู้เศรษฐกิจ
เหมือนที่เขาเปรียบเทียบว่าไม่ใช่ปืนเล็กยาว แต่เป็น” บาซูก้า”
ผลจากทุกประเทศใช้วิธีการแบบเดียวกัน ทำให้มีหลายคนทำนายว่า เศรษฐกิจอาจไม่ย่ำแย่ขนาดนั้น
เพราะด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาลจะช่วยยื้อภาคธุรกิจไม่ให้ล้มครืนลงแบบสึนามิถล่ม
แต่จะช่วย “ยืดเวลา” ต่อลมหายใจให้ภาคธุรกิจได้บ้าง
รอจนพายุ “โควิด” ผ่านพ้นไป
แต่คำถามอยู่ที่ว่า แล้วเจ้าไวรัส “โควิด” นี้ จะหยุดการแพร่ระบาดลงเมื่อไร
ไม่มีใครตอบได้
ตอบได้แต่ว่า ถ้ามีวัคซีนหรือวัคซีนเสร็จเมื่อไร
มนุษย์ก็จะปลอดภัยเมื่อนั้น
เพราะวัคซีนจะป้องกันไม่ให้เราติดเชื้อไวรัส
และ “เซรุ่ม” หรือยารักษาโรคจากเชื้อไวรัสจะทำให้เราไม่กลัวถ้าติดเชื้อไวรัส
เมื่อวันนั้นมาถึง เราจะไม่ต้องรักษาระยะห่าง 2 เมตร
เราสามารถเดินทางได้โดยไม่ระแวงว่าจะติดเชื้อ
เราจะจับจ่ายใช้สอยได้เหมือนเดิม
เศรษฐกิจจึงจะกลับเข้าสู่วงจรเดิม
เพราะถ้าตราบใดที่มนุษย์ยังคิดค้นวัคซีนหรือเซรุ่มไม่สำเร็จ
นักท่องเที่ยวไม่กล้าเดินทาง
คนไม่กล้าออกไปใช้เงินแบบปกติ
ยังระแวงว่าจะติดเชื้อจากคนข้าง ๆ หรือเปล่า
ต่อให้ใช้เงินจำนวนมหาศาลยิ่งกว่านี้
เปลี่ยน “บาซูก้า” เป็นระเบิดนิวเคลียร์
ยังไงเศรษฐกิจก็ไม่กลับมาเหมือนเดิม
นักธุรกิจไม่ชอบ “ความไม่แน่นอน”
สถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหนก็ได้
ขอรู้อย่างเดียวว่าจะจบเมื่อไร
แค่นั้นพอ
แต่ถามว่า มีใครทำนายได้บ้างว่า “โควิด” จะจบเมื่อไร
จนถึงวันนี้มีแต่คนพูดแบบอ้อม ๆ
น่าจะประมาณเดือนนี้ เดือนโน้น
ไม่มีใครกล้าฟันธง
มีนักธุรกิจใหญ่คนหนึ่งบอกว่า ทุกครั้งที่เกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นมา
และไม่สามารถใช้หลักวิชาการใด ๆ ทำนายได้
เขาจะพึ่งพาคนหนึ่งเสมอ
นั่นคือ “หมอดู”
เพราะหมอดูจะกล้าฟันธงด้วยหลักวิชาที่เขาร่ำเรียนมา
เป็นศาสตร์แห่งดวงดาว
ถามนักธุรกิจคนนั้นว่า เชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ
เขาบอกว่า ไม่ได้เชื่อ
แต่ต้องการคนฟันธงให้หน่อย
จะได้วางแผนอนาคตธุรกิจได้
ถามว่า ถ้าผิดล่ะ
“ผิดก็แก้ไข”
แต่ดีกว่าลังเลใจไปเรื่อย ๆ ไม่ทำอะไรเลย
ถามต่อว่า แล้วครั้งนี้หมอดูทำนายว่า จะจบเมื่อไร
เขาบอกว่า ยังไม่ได้ดูเลย
และถึงดูแล้วก็ไม่เคยบอกใคร
ทำเลย
ไม่ใช่หวงหรือเห็นแก่ตัวไม่ยอมบอกคนอื่น
แต่เพราะบอกแล้วคนที่รู้ก็จะตามดูเราตลอดว่า หมอดูแม่นหรือไม่แม่น
กลายเป็น “แรงกดดัน” รูปแบบหนึ่ง
เพราะถ้าหมอดูทายผิด เราจะได้ยินคำหนึ่งเป็นประจำ
….”ว่าแล้ว”
ครับ เขาเบื่อหมอดูที่เก่งหลังเหตุการณ์